saby

saby
เวลาสบาย ๆ ของ นาย หลุย

lสิ่งดีดีที่มีให้ตลอดไป

ขอเก็บเธอไว้ให้ลึกสุดใจ

เธอยัง..............ฉันหรือป่าว

คนสุดท้าย ความหมาบดีมาก

ดนตรีสากลมันส์ ๆ

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

กินอย่างพุทธ

กินอย่างพุทธ
พระไพศาล วิสาโล
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
               ฝรั่งคนหนึ่งมาเที่ยววัดป่าแถวอีสาน กลับไปก็บ่นให้เพื่อน ๆ ฟังว่า วัดดังกล่าวไม่น่าไปอย่างยิ่ง เธอให้เหตุผลว่าพระทั้งวัดไม่ถูกกันเลย เวลากินอาหารก็ต่างคนต่างกิน ไม่ยอมคุยกันสักคำ อย่างนี้แล้วจะน่าศรัทธาได้อย่างไรฝรั่งผู้นั้นไม่เข้าใจวัตรปฏิบัติของพระว่า เวลาฉันอาหาร ท่านจะฉันด้วยความสงบ สำรวม เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกฝนพัฒนาจิตไปด้วยในตัวฝรั่งอาจถือว่าเวลาอาหารเป็นช่วงเวลาสังสรรค์ แต่ตามธรรมเนียมพุทธ (ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะในหมู่พระป่าเท่านั้น) การกินอาหารเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัวผู้คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการกินอาหารเป็นเรื่องของร่างกายเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมันมีผลต่อจิตใจด้วย ผลในทางจิตใจนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรากินอะไรเท่านั้น เรากินอย่างไรก็มีความสำคัญเช่นกัน คนที่กินไปคุยไป หรือปากก็เคี้ยว ใจก็ครุ่นคิดกังวล นอกจากอาหารจะย่อยยาก แล้ว ใจก็เครียดง่าย พาลจะเป็นโรคกระเพาะเอา ยิ่งกว่านั้นพฤติกรรมการกินแบบนี้ยังบ่มเพาะนิสัยฟุ้งซ่าน แซ่ส่าย มีสมาธิได้ยากในทางกลับกัน ถ้ากินอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น จิตใจก็พลอยได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วย อย่าลืมว่าไม่ใช่แต่ร่างกายเท่านั้นที่ต้องการอาหาร จิตใจก็ต้องการด้วยเช่นกันอาหารของจิตใจคืออะไร ? อย่างแรกได้แก่ความสงบ การกินอาหารเป็นโอกาสหนึ่งที่จิตใจควรได้พักผ่อนหลังจากถูกใช้ไปกับการงานต่าง ๆ มากมาย ถ้าเราลองกินโดยไม่พูดคุยกับใครดูบ้าง และไม่ต้องหาเรื่องมาคิดให้วุ่นวาย ให้ใจได้รับรู้อยู่กับการกิน สัมผัสรับรสต่าง ๆ อย่างแจ่มชัด แม้จะฟุ้งซ่านไปบ้าง ก็ดึงจิตกลับมาที่การกิน การกระทำอย่างนี้เรียกว่ากินอย่างมีสติ ผลที่ตามมาคือ ความสงบจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น สมาธิจะได้รับการพัฒนา สติและสมาธิดังกล่าวนี้แหละที่เราสามารถเอาไปใช้เวลาทำงานทำการต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่แต่ในเวลาอาหารเท่านั้นนอก จากความสงบแล้ว จิตใจยังต้องการปัญญาหรือความตระหนักรู้ ในทางพุทธศาสนา ถือว่าเวลาอาหารยังเป็นเวลาที่จะได้เตือนตนให้ตระหนักว่าชีวิตเรานั้นต้อง การสิ่งที่เรียกว่า”คุณค่าแท้”ยิ่งกว่า”คุณค่าเทียม” ในเรื่องอาหารนั้น คุณค่าแท้ได้แก่ประโยชน์ต่อชีวิตและสุขภาพ ส่วนคุณค่าเทียมได้แก่รสอร่อย ความโก้เก๋ ถ้าเรากินอาหารโดยมุ่งรสชาติและหน้าตา (เช่น กินอาหารแพง ๆ ร้านดัง ๆ) กิเลสก็จะสะสมพอกพูนในจิตใจของเราพร้อม ๆ กับไขมันที่เกาะตามเส้นเลือด ด้วยเหตุนี้ตามธรรมเนียมพุทธ ก่อนจะกินอาหาร จึงนิยมเตือนตนด้วยบท”ปฏิสังขาโย” เพื่อให้ระลึกว่าเราพึงกินอาหารโดยมุ่งคุณค่าแท้เป็นสำคัญ อย่าได้กินตามใจกิเลส คนสมัยนี้อาจรู้สึกว่าบทปฏิสังขาโยโบราณไปแล้ว หรือเหมาะสำหรับพระ แต่หากเตือนตนด้วยเนื้อหาคล้าย ๆ กันก่อนกินอาหาร ก็ถือว่าให้ปัญญาแก่จิตใจแล้วความตระหนักรู้อีกอย่างหนึ่งซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตก็คือ ความตระหนักว่าชีวิตเราอยู่ได้เพราะอาศัยสิ่งต่าง ๆ มากมาย เวลาอาหารเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ เพราะทุกอย่างที่เรากินเข้าไปล้วนเป็นผลพวงแห่งน้ำพักน้ำแรงของผู้คนมากมาย อีกทั้งยังเกิดจากชีวิตนับไม่ถ้วน โดยโยงไปถึงป่าเขาลำเนาธารดินฟ้าเมฆฝน ฯลฯ ในเมื่อเราเป็นหนี้บุญคุณผู้คนและสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นนี้ อย่างน้อยก็ควรขอบคุณและอุทิศส่วนกุศลหรือแผ่เมตตาไปให้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงมีการสวดอนุโมทนา ตลอดจนกรวดน้ำเช้าเย็น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการพยายามทำชีวิตให้มีคุณค่า พัฒนาตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสียสละของสรรพชีวิต ความตระหนักรู้และความตั้งใจดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องของพระเท่านั้น หากยังจำเป็นสำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ด้วย เวลาอาหารเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เตือนตนในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดมุมมองที่ถูกต้องตามความเป็นจริง และเกื้อกูลต่อชีวิตที่ดีงาม มุมมองเช่นนี้พุทธศาสนาถือว่าเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง
            ชีวิตนั้นไม่ได้แยกเป็นส่วน ๆ เวลากินอาหาร เราจึงไม่พึงบำรุงเลี้ยงแต่ร่างกายเท่านั้น หากเราควรบำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย โดยกินอย่างมีสติและสมาธิ ขณะเดียวกันก็บ่มเพาะปัญญาให้เกิดขึ้นแก่จิตใจ ด้วยการเตือนตนให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของอาหาร ไม่หลงปล่อยใจไปกับคุณค่าเทียม พร้อมกันนั้นก็ให้ตระหนักว่าเราเป็นหนี้บุญคุณสรรพชีวิต จึงควรใช้ชีวิตให้มีความหมาย
อัน ที่จริงถ้าจะกล่าวให้ครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ นอกจากมิติทางกายและจิตใจแล้ว การกินอย่างพุทธยังแยกไม่ออกจากมิติทางสังคม นั่นคือต้องคำนึงเสมอว่าการกิน (และการบริโภค) ของเรานั้นส่งผลกระทบต่อผู้อื่นหรือไม่ มีอาหารและผลิตภัณฑ์หลายอย่างเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เบียดเบียนคนยากคนจน หรือทรมานสัตว์ หากกินด้วยจิตสำนึกอย่างชาวพุทธจริง ๆ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงอาหารและผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หาไม่จะเท่ากับว่าเราไปส่งเสริมสนับสนุนการเบียดเบียนดังกล่าว
           กาย จิต และสังคมล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และต่างมาบรรจบในแทบทุกกิจกรรมของชีวิต รวมทั้งการกิน การกินจึงมิใช่แค่การหาอาหารใส่ท้องเท่านั้น หากยังเป็นการบ่มเพาะจิตใจของเรา และปรุงแต่งสังคมที่เราอาศัยอยู่ด้วย

แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง


แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง
พระไพศาล วิสาโล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ใครที่ได้ไปพม่า หากมีเวลาหลายวัน ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องไปพุกาม ซึ่งเป็นราชธานีโบราณร่วมสมัยกับนครวัดของเขมร “ทะเลเจดีย์”เป็นสมัญญานามที่คู่ควรกับพุกามโดยแท้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่า ๑,๐๐๐ ปี แต่วัดและเจดีย์โบราณหลายแห่งก็ยังคงรูปทรงร่างเกือบสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในวัดโบราณดังกล่าวก็คือ วิหารอนันดา ซึ่งมีผังทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง อีกทั้งมีการก่ออิฐที่มั่นคงแน่นหนา ในวิหารมีอากาศถ่ายเทเย็นสบาย แต่ที่ทำให้เย็นใจสบายจิตก็คือพระพุทธรูปยืนด้านทิศใต้ ซึ่งสูงหลายเมตรและมีอายุนานนับพันปี นี้เป็นหนึ่งในสองของพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานตั้งแต่สร้างวัด นับเป็นพระพุทธรูปที่งดงามคู่พุกามทีเดียวพระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษประการหนึ่งคือ เมื่อมองไกลสัก ๑๐ เมตรจะเห็นพระพักตร์แย้มยิ้ม แต่หากเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะพบว่ารอยยิ้มได้แปรเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของคนส่วนใหญ่คือพระพักตร์ที่ “บึ้ง” นักท่องเที่ยวจากเมืองไทยจึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระยิ้ม-บึ้ง”ที่จริงหากมองให้ดี พระพักตร์ที่มองจากมุมใกล้นั้น หาใช่เป็นพระพักตร์บึ้งไม่ แต่เป็นพระพักตร์ที่สงบต่างหาก เป็นความสงบที่สามารถแผ่ไปถึงใจของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์ หากเขาหรือเธอผู้นั้นสำรวมกายวาจาใจ แล้วมองนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อนที่จะเดินไปไหนเป็นความสามารถอันเอกอุของช่างโบราณที่รังสรรค์พระพุทธรูปไม้องค์นี้ ซึ่งไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงพุทธคุณอย่างครบถ้วน อันได้แก่ พระกรุณาคุณ และพระปัญญาคุณพระกรุณาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่แย้มยิ้ม เปี่ยมด้วยความรักต่อสรรพชีวิต ใครที่ได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้จากมุมไกล ย่อมรู้สึกอบอุ่น หากมีความทุกข์หรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมมีความหวังหรือกำลังใจว่าพระกรุณาคุณจะช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัยส่วนพระปัญญาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่สงบนิ่งเมื่อมองจากมุมใกล้ เป็นอาการของผู้ที่ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมไม่ว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ หรือนินทา ด้วยประจักษ์แจ้งในสัจธรรมของโลกว่าความผันผวนแปรปรวนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพบก็ต้องพราก เมื่อเจอก็ต้องจาก ได้กับเสีย ดีใจกับเสียใจเป็นของคู่กัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ยึดติดในสุขหรือสภาวะฝ่ายบวก ทุกข์หรือสภาวะฝ่ายลบจึงทำอะไรไม่ได้ ด้วยพระกรุณาคุณ พระพุทธองค์จึงทรงช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันพระปัญญาคุณ ก็ทำให้พระองค์ทรงสงบนิ่งได้หากผู้หนึ่งผู้ใดมิอาจพ้นทุกข์ได้ เพราะการที่ใครคนหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้นั้นมิได้อยู่ในอำนาจของพระองค์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยซึ่งมีอยู่มากมายเกินวิสัยที่ใครจะควบคุมให้เป็นไป ตามใจได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระปัญญาคุณทำให้ทรงมีอุเบกขาหากพระกรุณาคุณไม่ประสบผลใช่หรือไม่ว่าพระพุทธรูปองค์นี้กำลังสอนธรรมแก่เราว่า กรุณาและปัญญาเป็นธรรมที่จำต้องควบคู่กัน แม้มีเมตตาหรือความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ก็จำต้องรู้จักวางใจให้สงบนิ่ง หรือเป็นอุเบกขาด้วยหากไม่สามารถช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้ ผู้ที่มีแต่เมตตาหรือกรุณา หากขาดปัญญาเสียแล้ว ย่อมทุกข์ใจได้ง่ายหากพบว่าตนไม่สามารถช่วยให้คนรักแคล้วคลาดจากทุกข์ได้ เมื่อไม่มีปัญญาเราย่อมติดยึดคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปดังใจ ทั้ง ๆ ที่มันไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย หากแต่ขึ้นอยู่กับกระแสแห่งเหตุปัจจัยล้วน ๆ แต่ถ้าเราตระหนักถึงความจริงข้อนี้ การช่วยผู้อื่นแม้จะทำอย่างเต็มที่ ก็ไม่ยึดติดในผลที่ตามมาว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตใจปล่อยวางจากความคาดหวัง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับได้เพราะทำเต็มที่แล้ว จึงไม่ทุกข์ไปกับการช่วยเหลือหรือตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ทำใจสงบนิ่งได้ เราจึงควรฝึกตนให้เป็นดังพระพุทธรูปองค์นี้ คือแย้มยิ้มปรารถนาดีต่อทุกชีวิต และสงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งกับตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อได้พากเพียรพยายามเต็มที่แล้ว

" อุบายการเลิกเหล้า "

" อุบายการเลิกเหล้า " ......โดยพระคุณเจ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๕ : อุบายเลิกเหล้า
โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา



          "การทำมาหาเลี้ยงชีพไม่รู้จักหา ไม่รู้จักทำ มีแต่กินท่าเดียว มีสตางค์มาก็วิ่งเข้าร้านขายเหล้า
ลงผลสุดท้าย เราก็จะลำบาก เรายังน้อยยังหนุ่ม รีบพยายามที่จะพิจารณาตัว แล้วรีบเลิกละมัน
เสีย นึกถึงตอนแก่นั่นซิ ตอนแก่แล้ว เรามัวแต่เมา ไม่ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ งานการไม่
ทำมีแต่เมา มีแต่กิน เมื่อแก่ลงมา เราหาอยู่หากินไม่ได้ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปหมด เราจะไป
พึ่งพาอาศัยใคร ถ้าเราไม่ดี พี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ พยายามนึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ประเดี๋ยว
ใจมันก็ค่อยๆแข็ง ขึ้น มันก็ค่อยๆเลิกไปเอง เรากำลังหนุ่มแน่น กำลังจะเจริญ พยายามทำใจให้
แข็งเสีย


         วิธีฝึกตน ก็พยายาม ทีแรกนี่ พยายามว่างๆ ก็ไปจำศีลอยู่กับพระกับเจ้าเสีย ทีละอาทิตย์ สอง
อาทิตย์ มันจะค่อยห่างไปๆ ทางโปรดของหลวงพ่อก็มีอย่างนี้แหละ ให้พยายามทำใจให้แข็ง
อดทน ใครมาหาหลวงพ่อ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างนี้ ใครเอาจริง เขาก็เลิกได้ อยู่ที่ใจ... ไม่มีอะไร
แก้ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเห็นความชั่วความไม่ดีของการกินเหล้า เวลาปกติ ที่เราสร่างเมาแล้ว ก็ค่อยๆพิจารณา ดูโทษของมัน พยายามรีบๆ ปรับปรุงตัว อดมันเสีย ตั้งใจให้มันเด็ดขาด แล้วก็อย่าไปสบถสาบาน ตั้งใจให้มันแข็ง ให้นึกถึงใจพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ที่เขาก็เป็นห่วง เป็นใยเรา กลัวเราไม่ได้ดิบได้ดี นึกถึงความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย"

เทคนิคการขับรถถอยหลัง

เทคนิคการขับรถถอยหลัง

การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไปข้างหน้า ธรรมชาติมักจะอำนวยความสะดวกไว้ให้เพราะเรามีดวงตาอยู่ทางด้านหน้า เช่นเดียวกับการขับรถ มีนักขับรถจำนวนมาก ที่มีความชำนิชำนาญในการขับรถไป ข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว ขับขึ้นเขาลงเขาได้ถูกต้อง แต่พอจะถอยหลังเข้าจอดหรือถอยหลังเพื่อออกรถ หรือถอยหลังเพื่อกลับรถชักจะยุ่งใหญ่ ถอยแล้ว ถอยอีก ไม่ยอมเข้าที่เข้าทางได้สักที บางครั้งมองดูเป็นงุ่มง่ามเงอะงะไปเลยก็มี เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าการขับรถถอยหลังนั้น การหมุนพวงมาลัยจะให้ความรู้สึกกลับกัน เพราะหมุนที่ล้อหน้า แต่กลับมาให้ความรู้สึกสนองตอบที่ล้อหลัง ดังนั้นผู้ที่ไม่ฝึกหัดให้ชำนิชำนาญและคุ้นเคยกับปฏิกิริยานี้ มักจะขับได้ไม่ค่อยดี
อีกประการหนึ่ง การที่เราขับไปข้างหน้าทันทีที่เราหมุนพวงมาลัย ความรู้สึกว่ารถสนองตอบจะเกิดขึ้นทันที แต่การขับรถถอยหลังนั้น หมุนพวงมาลัยไปแล้ว ต้องทิ้งระยะสักชั่วครู่หนึ่งอาการสนองตอบของรถจึงจะเกิดขึ้น ทำให้ความรู้สึกในการขับรถของเราผิดไปจากปกติได้
เคล็ดลับการขับรถถอยหลังประการแรกก็ คือ ต้องพยามยามขับถอยหลังให้ความเร็วรถช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ชินกับการสนองตอบของพวงมาลัยต่อรถ อย่าพยายามหมุนพวงมาลัยในขณะที่รถยังไม่เคลื่อนตัว แต่ให้หมุนทันทีที่รถเคลื่อนตัว จะทำให้หมุนพวงมาลัยได้สะดวก ง่าย เบามือ และยิ่งหมุนพวงมาลัยมากจนเกือบสุด ก็จะทำให้รถเคลื่อนตัวช้ามากขึ้นเท่านั้น
เคล็ดลับประการที่สองก็ คือ ล้อหน้าเท่านั้นที่เป็นจุดเล็งให้รถเข้าสู่เป้าหมาย การขับรถถอยหลังนั้นไม่ใช่ของง่ายนัก การฝึกหัดที่ถูกต้องคือต้องหัดถอยช้า ๆ ไปในทางตรง ๆ ก่อน และค่อย ๆ เลี้ยวเป็นมุมพอคล่องแคล่ว จับอาการได้ดีแล้วจึงฝึกเลี้ยวซิกแซก ที่ยากขึ้น ท่านั่งในการขับถอยหลัง จะต้องขยับตัวจากที่นั่งจากปกติ จะขยับไปทางใด มากน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของคุณว่าเหมาะสมอย่างใด และจะถอยหลังเลี้ยวซ้ายหรือถอยหลังเลี้ยวขวา เช่น ถ้าจะถอยหลังเลี้ยวซ้าย คุณควรจับพวงมาลัยด้วยมือขวาและถือได้ว่าในตำแหน่ง 12 นาฬิกา ส่วนถ้าเลี้ยวขวา ก็ควรถือพวงมาลัยไว้ด้วยมือซ้ายตำแหน่ง 12 นาฬิกาเช่นกัน ถ้าร่างกายอ้วนมาก อึดอัด ก็ให้ใช้มือที่ว่างพาดที่เบาะอีกตัวเพื่อประคองตัวเอาไว้ หรือที่เบาะนั่งของที่นั่งคนขับก็ได้ การหมุนพวงมาลัย เป็นข้อที่ยากลำบากอย่างหนึ่งในการหมุนพวงมาลัยขับรถถอยหลัง เพราะจะต้องหมุนพวงมาลัยเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อยก่อนถึงจุดเลี้ยว และเมื่อคืนพวงมาลัยให้ตรงก็ต้องหมุนให้เร็วว่าปกติสักเล็กน้อย รถจึงจะเข้าอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ทั้งนี้จะต้องประกอบด้วยการถอยอย่างช้า ๆ เพื่อมีเวลาดูสิ่งกีดขวางทั้งข้างหน้าและข้างหลังอย่างระมัดระวังตลอดระยะ เวลาที่รถถอยหลัง
ข้อพึงจำและปฏิบัติในการขับรถถอยหลัง

  1. อย่าถอยรถจากถนนซอกซอย ถนนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโอกาสจะถูกรถที่วิ่งในถนนใหญ่มาชนสูงมาก
  2. อย่าถอยรถจนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย ถึงแม้จะมีคนคอยช่วยดูทางให้ก็ตาม
  3. พยายามอย่าถอยรถในระยะทางยาว ๆ เพื่อความสะดวกแก่ตนเอง เพราะอาจจะเกะกะกีดขวางคนอื่น ๆ และอาจไม่ปลอดภัยด้วย จึงควรถอยหลังให้สั้นที่สุด
  4. ทุกครั้งที่ขับรถถอยหลัง ต้องพร้อมที่จะหยุดรถให้ได้ทุกวินาที
ถ้าทำได้ดังนี้ครบทุกข้อ คุณก็จะขับรถถอยหลังได้โดยถูกต้องและปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน การขับรถยนต์ในเวลากลางคืน แน่นอนที่สุดจะต้องทำการเปิดไฟหน้า เหตุผลที่ทำการเปิดไฟหน้ามีต่างๆนาๆ เช่น เพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน เพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ของตนเองให้กับผู้อื่นทราบ และที่สำคัญถูกต้องตามกฎหมายจราจร หากเราขับรถยนต์เพียงลำพังก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ แต่เป็นไปไม่ได้ที่บนถนนหนทางจะมีรถยนต์เพียงคันเดียว ดังนั้น ต้องมีความปลอดภัยทุกครั้งที่ทำการขับขี่
ไฟหน้าของรถยนต์ ที่พบบนถนนทางหลวงมีมากมายหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี, ความสว่าง, ระดับไฟหน้า และอื่นๆ  ถ้ารถยนต์ทุกคัน ไม่มีการปรับแต่งในเรื่องของไฟหน้า ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หมายความว่า รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานอย่างไร ก็ให้ใช้อย่างนั้น เพราะถือว่าเป็นมาตรฐาน และเป็นไปตามกรมขนส่งทางบกกำหนด แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ไฟหน้าไม่เหมือนเดิม จริงอยู่การกระทำดังกล่าว ช่วยให้ผู้ขับขี่มีทัศนะวิสัยดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างมากเช่นเดียวกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ขนาดไฟหน้ารถยนต์มิได้ทำอะไรเลย เมื่อมีคนเดินสวนทางกับรถยนต์ที่กำลังวิ่ง จะมีการปิดตาก็เพราะว่าลำแสงของไฟหน้าส่องตานั่นเอง ซึ่งจะทำให้หน้ามืด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเป็นรถที่วิ่งสวนทางมาก็คงจะเหมือนกัน ผู้ขับขี่ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ชอบกับการที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เท่าใดนัก
หากมีการทำไฟหน้าให้ผิดไปจากเดิม รถที่วิ่งสวนทางมาก็แย่พออยู่แล้วยังมีพวกที่เปิดไฟตัดหมอกหน้า (สปอตไลท์) อีกยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะทำให้รถที่วิ่งสวนทางเกิดอุบัติเหตุได้ ในกรณีขับรถยนต์สวนทางและมีช่องทางวิ่ง 2 เลน จะเห็นได้ว่าไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนนั้น ทำให้หน้ามืดทันที การมองเห็นทิศทางด้านหน้าด้อยลง เมื่อใดเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาลองทำตามวิธีนี้ดูแล้วท่านจะพบว่าได้ประโยชน์ มากเลยทีเดียว
เมื่อเราเดินทางบนถนนหลวงในต่างจังหวัดยามค่ำคืน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กับลำแสงของไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางให้ทำการขับ ขี่ใน “ช่องทางซ้ายสุด” จะได้ประโยชน์ ดังนี้
เมื่อเราอยู่เลนซ้ายสุดบนถนนหลวง ท่านจะพบว่าได้รับแสงไฟหน้า ของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาน้อยลง ทำให้มองทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
รถวิ่งเร็วและต้องการแซงก็ไม่ต้องขอทางจากเราไม่ว่าจะเป็นการบีบแตร หรือ ยกไฟหน้า (ไฟสูง) เพื่อขอทาง เพราะเราอยู่เลนซ้าย
เมื่อเราขับเลนซ้าย บนถนนหลวงจะมีรถขับตามหลังน้อยลง เพราะจะมีแต่รถวิ่งเร็ว เวลามองกระจกมองหลัง หรือ กระจกมองข้าง ก็ไม่เจอกับลำแสงไฟหน้าบ่อยๆ
หากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับช่องทางที่วิ่งเลนซ้าย ความปลอดภัยจะมีมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็ไม่รบกวน
วิธีการที่แนะนำจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการขับรถยนต์บนทางหลวงในต่าง จังหวัด หากไม่สามารถวิ่งทางด้านช่องทางซ้ายมือได้ ให้วิ่งเลนกลาง (ช่องทางวิ่งมี 3 เลน) แล้วท่านจะขับรถยนต์อย่างไม่ยากเย็นมากนัก วิธีการนี้ไม่เจาะจง หรือ บังคับกันได้ครับ แล้วแต่ความถนัด แต่สำหรับผู้เขียน เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดยามค่ำคืน จะใช้วิธีการนี้ครับ ถึงแม้ว่ารถยนต์ของผู้เขียนจะมีไฟตัดหมอกหน้าก็ตาม ก็ไม่รบกวนต่อผู้ขับขี่ท่านอื่นอีกด้วยครับ
แผนกเทคนิคและฝึกอบรม
บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)

อันตรายจากแอ่งน้ำบนถนน

อันตรายจากแอ่งน้ำบนถนน

แอ่งน้ำบนถนนมีอันตรายซ่อนอยู่ บนถนนหนทางเส้นทางเป็นปกติ ผิวของถนนแห้งและเรียบ การควบคุมรถยนต์สามารถทำได้แบบไม่ยากเย็นนัก  ผิดกับถนนที่มีลักษณะไม่คงที่ ,ขรุขระ, ต่างระดับ, เปียกลื่นฯลฯ ย่อมต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ก็มีอยู่มาก  มากที่ถนนปกติ  แต่กลับมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง ดังที่เป็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ แน่นอนเกิดขึ้นจากความประมาทส่วนบุคคล ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากว่าเกิดเหตุแล้วเกิดเฉพาะบุคคลก็จะดีไม่น้อย  แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่นำพาให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายตามไปด้วย  ขนาดเส้นทางเป็นปกติดียังมีปัญหาเกิดขึ้น  ไฉนเลยมีความเป็นปกติเกิดขึ้นบนถนนย่อมมีอุบัติเหตุเป็นเรื่องธรรมดา
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หากทุกคนรู้ล่วงหน้า คำว่า “ อุบัติเหตุ ” คงไม่มี เพราะมีการเตรียมการเตรียมตัวก่อนแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต  และในการนี้จะกล่าวถึงการขับรถยนต์ผ่านแอ่งน้ำบนถนน
การขับรถผ่านแอ่งน้ำมิใช่หรือเหมือนกับการขับรถผ่านน้ำท่วม  การขับรถผ่านน้ำท่วมแน่นอนต้องชะลอความเร็ว  คือใช้ความเร็วต่ำ เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ  แต่สำหรับการขับผ่านแอ่งน้ำ มีความน่ากลัวกว่าน้ำท่วม    ไหนจะการควบคุมรถยนต์   ไหนจะเกิดขึ้นกับสิ่งรอบข้างอีก  ดังนั้น  ในการนี้     ขอเสนอเหตุการณ์สมมุติเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น    ดังนี้
สมมุติว่า มีแอ่งน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร อยู่บนถนนทางด้านล้อด้านซ้าย   (จะพบบ่อยบนถนนในกรุงเทพมหานคร ) บริเวณป้ายรถเมล์ หรือรถประจำทางมีผู้คนยืนอยู่แล้ว มีรถขับมาด้วยความเร็ว  (พอสมควรไม่ต้องถึงขนาดความเร็วสูง )  น้ำที่มีอยู่ในอ่างจะกระเซ็นขึ้นมาโดนสิ่งต่าง ๆ  ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างแน่นอน   ไม่เพียงแต่น้ำเท่านั้น  ตัวรถยนต์จะมีอาการถูกดึงในบางครั้งเสียการทรงตัว หรือเสียการควบคุมหากรถยนต์มีอาการหมุน ลองนึกภาพดูอะไรจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง สิ่งที่ใกล้ตัวเช่น เปลือกกล้วยหอมเมื่อคนเราเหยียบย่อมเกิดการลื่น เสียการทรงตัว ขนาดเราแค่เดินก้าวนะครับ แต่รถยนต์มีการเคลื่อนตัวอย่างเร็วตอนวิ่งอยู่ ดังนั้น อาการที่เกิดขึ้นย่อมมีมาก แต่ถ้าขับด้วยความเร็วต่ำรถยนต์คงไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้นให้เห็น ก็เท่ากับว่า  การบังคับ ควบคุมรถยนต์ทำได้ แต่ถ้าเราขับรถด้วยความเร็วที่สูงตัวรถยนต์จะมีอาการดึงอย่างชัดเจน แล้วถ้าขณะนั้นจับพวงมาลัยไม่แน่น บวกกับมีอาการตกใจ อะไรย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หากพบถนนมีลักษณะเช่นนี้  ผู้ขับขี่จะต้องสังเกตแล้ววิเคราะห์ว่า จะทำอย่างไร อย่างเช่น ถ้าขณะนั้นหักหลบได้  ก็ให้ควบคุมรถไปในอีกทิศทางหนึ่ง   แต่ถ้าหลบไม่ได้  ให้ลดความเร็วรถยนต์ลง พร้อมกับการแตะเบรกก่อนที่จะถึงแอ่งน้ำ เพราะถ้าเบรกที่ตรงแอ่งน้ำ รถยนต์ก็จะเกิดอาการหมุนปัด ก็จะเกิดอุบัติเหตุอีก การจับพวงมาลัยต้องแน่นขึ้นถึงกับเกร็งทั้งแขนเลย และนี้ก็เป็นวิธีการที่แนะนำ ที่ได้ผลดี
อนึ่งความไม่ประมาทนำมาซึ่งความปลอดภัย  เหตุการณ์ตามหัวเรื่อง  บางท่านเคยมีประสบการณ์แล้วก็จะเห็นภาพดียิ่งขึ้น   สำหรับมือใหม่ควรกระทำตามคำแนะนำ อย่าลืมนะครับ   ปัจจุบันรถติดไฟแดงก็นานพออยู่แล้ว ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จะขนาดไหน ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเอง
แผนกเทคนิคและฝึกอบรม
บริษัท พิธานพานิชย์   จำกัด ( กรุงเทพฯ )
ข้อมูลจาก: www.phithan-toyota.com

จัยกลไกสมอง อธิบายเหตุ "ขับห้ามคุย"

จัยกลไกสมอง อธิบายเหตุ "ขับห้ามคุย"


นักวิจัยมะกันเผยผลสำรวจกลไกการทำงานของสมอง เหตุที่อธิบายได้ว่า ทำไมการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถถึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์ในเมืองบัลติมอร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวระบุว่า การทดสอบการทำงานของสมองขณะขับรถไปพร้อม ๆ กับการคุยโทรศัพท์นั้น เซลล์สมองสามารถประมวลผลการทำงานทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน คือ การใช้สายตามองถนนขณะขับรถ และการฟังเสียงที่พูดอยู่ ณ ปลายสาย แต่ทว่า ไม่สามารถแยกทำงานทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"จากการวิจัยเราสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ แม้ว่าผู้ขับรถจะใช้แฮนด์ฟรีก็ตาม" สตีเวน ยานทิส ศาสตราจารย์แห่งภาควิชาฟิสิกส์และวิทยาการของสมอง กล่าว
"การให้ความสนใจกับการฟังบทสนทนาขณะขับรถมีผลทำให้ระบบการรับข้อมูลภาพจากดวงตามีประสิทธิภาพลดลง"
ผลงานข้อเขียนของยานทิสและคณะซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Neuroscience ระบุว่า เขาได้ทำการทดสอบกับคนที่มีอายุระหว่าง 19 - 35 ปีโดยให้กลุ่มทดสอบดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะที่หูสวมเฮดโฟนอยู่ ซึ่งขณะทำการทดสอบสมองของอาสาสมัครจะถูกสแกนโดยเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เขากำหนดให้กลุ่มอาสาสมัครมองหาชุดตัวเลขกลุ่มหนึ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไปพร้อม ๆ กับการฟังเสียงตัวเลขจำนวนมากผ่านทางเฮดโฟน เมื่ออาสาสมัครให้ความสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมองในส่วนของการฟังก็จะลดการทำงานลง
เช่นเดียวกับการขับรถไปพร้อม ๆ กับสนทนาทางโทรศัพท์มือถืออย่างออกรสนั่นเอง "คุณสามารถเลือกที่จะให้ความสนใจกับการมองเห็น หรือการฟังเสียงได้ ที่สุดแล้วอยู่ที่คุณเป็นคนตัดสินใจ" ยานทิสกล่าวในท้ายที่สุด

ที่มา : http://www.dmh.go.th