saby

saby
เวลาสบาย ๆ ของ นาย หลุย

lสิ่งดีดีที่มีให้ตลอดไป

ขอเก็บเธอไว้ให้ลึกสุดใจ

เธอยัง..............ฉันหรือป่าว

คนสุดท้าย ความหมาบดีมาก

ดนตรีสากลมันส์ ๆ

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

กินอย่างพุทธ

กินอย่างพุทธ
พระไพศาล วิสาโล
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
               ฝรั่งคนหนึ่งมาเที่ยววัดป่าแถวอีสาน กลับไปก็บ่นให้เพื่อน ๆ ฟังว่า วัดดังกล่าวไม่น่าไปอย่างยิ่ง เธอให้เหตุผลว่าพระทั้งวัดไม่ถูกกันเลย เวลากินอาหารก็ต่างคนต่างกิน ไม่ยอมคุยกันสักคำ อย่างนี้แล้วจะน่าศรัทธาได้อย่างไรฝรั่งผู้นั้นไม่เข้าใจวัตรปฏิบัติของพระว่า เวลาฉันอาหาร ท่านจะฉันด้วยความสงบ สำรวม เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกฝนพัฒนาจิตไปด้วยในตัวฝรั่งอาจถือว่าเวลาอาหารเป็นช่วงเวลาสังสรรค์ แต่ตามธรรมเนียมพุทธ (ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะในหมู่พระป่าเท่านั้น) การกินอาหารเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัวผู้คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการกินอาหารเป็นเรื่องของร่างกายเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมันมีผลต่อจิตใจด้วย ผลในทางจิตใจนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรากินอะไรเท่านั้น เรากินอย่างไรก็มีความสำคัญเช่นกัน คนที่กินไปคุยไป หรือปากก็เคี้ยว ใจก็ครุ่นคิดกังวล นอกจากอาหารจะย่อยยาก แล้ว ใจก็เครียดง่าย พาลจะเป็นโรคกระเพาะเอา ยิ่งกว่านั้นพฤติกรรมการกินแบบนี้ยังบ่มเพาะนิสัยฟุ้งซ่าน แซ่ส่าย มีสมาธิได้ยากในทางกลับกัน ถ้ากินอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น จิตใจก็พลอยได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วย อย่าลืมว่าไม่ใช่แต่ร่างกายเท่านั้นที่ต้องการอาหาร จิตใจก็ต้องการด้วยเช่นกันอาหารของจิตใจคืออะไร ? อย่างแรกได้แก่ความสงบ การกินอาหารเป็นโอกาสหนึ่งที่จิตใจควรได้พักผ่อนหลังจากถูกใช้ไปกับการงานต่าง ๆ มากมาย ถ้าเราลองกินโดยไม่พูดคุยกับใครดูบ้าง และไม่ต้องหาเรื่องมาคิดให้วุ่นวาย ให้ใจได้รับรู้อยู่กับการกิน สัมผัสรับรสต่าง ๆ อย่างแจ่มชัด แม้จะฟุ้งซ่านไปบ้าง ก็ดึงจิตกลับมาที่การกิน การกระทำอย่างนี้เรียกว่ากินอย่างมีสติ ผลที่ตามมาคือ ความสงบจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น สมาธิจะได้รับการพัฒนา สติและสมาธิดังกล่าวนี้แหละที่เราสามารถเอาไปใช้เวลาทำงานทำการต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่แต่ในเวลาอาหารเท่านั้นนอก จากความสงบแล้ว จิตใจยังต้องการปัญญาหรือความตระหนักรู้ ในทางพุทธศาสนา ถือว่าเวลาอาหารยังเป็นเวลาที่จะได้เตือนตนให้ตระหนักว่าชีวิตเรานั้นต้อง การสิ่งที่เรียกว่า”คุณค่าแท้”ยิ่งกว่า”คุณค่าเทียม” ในเรื่องอาหารนั้น คุณค่าแท้ได้แก่ประโยชน์ต่อชีวิตและสุขภาพ ส่วนคุณค่าเทียมได้แก่รสอร่อย ความโก้เก๋ ถ้าเรากินอาหารโดยมุ่งรสชาติและหน้าตา (เช่น กินอาหารแพง ๆ ร้านดัง ๆ) กิเลสก็จะสะสมพอกพูนในจิตใจของเราพร้อม ๆ กับไขมันที่เกาะตามเส้นเลือด ด้วยเหตุนี้ตามธรรมเนียมพุทธ ก่อนจะกินอาหาร จึงนิยมเตือนตนด้วยบท”ปฏิสังขาโย” เพื่อให้ระลึกว่าเราพึงกินอาหารโดยมุ่งคุณค่าแท้เป็นสำคัญ อย่าได้กินตามใจกิเลส คนสมัยนี้อาจรู้สึกว่าบทปฏิสังขาโยโบราณไปแล้ว หรือเหมาะสำหรับพระ แต่หากเตือนตนด้วยเนื้อหาคล้าย ๆ กันก่อนกินอาหาร ก็ถือว่าให้ปัญญาแก่จิตใจแล้วความตระหนักรู้อีกอย่างหนึ่งซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตก็คือ ความตระหนักว่าชีวิตเราอยู่ได้เพราะอาศัยสิ่งต่าง ๆ มากมาย เวลาอาหารเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ เพราะทุกอย่างที่เรากินเข้าไปล้วนเป็นผลพวงแห่งน้ำพักน้ำแรงของผู้คนมากมาย อีกทั้งยังเกิดจากชีวิตนับไม่ถ้วน โดยโยงไปถึงป่าเขาลำเนาธารดินฟ้าเมฆฝน ฯลฯ ในเมื่อเราเป็นหนี้บุญคุณผู้คนและสิ่งต่าง ๆ มากมายเช่นนี้ อย่างน้อยก็ควรขอบคุณและอุทิศส่วนกุศลหรือแผ่เมตตาไปให้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงมีการสวดอนุโมทนา ตลอดจนกรวดน้ำเช้าเย็น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการพยายามทำชีวิตให้มีคุณค่า พัฒนาตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสียสละของสรรพชีวิต ความตระหนักรู้และความตั้งใจดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องของพระเท่านั้น หากยังจำเป็นสำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ด้วย เวลาอาหารเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เตือนตนในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดมุมมองที่ถูกต้องตามความเป็นจริง และเกื้อกูลต่อชีวิตที่ดีงาม มุมมองเช่นนี้พุทธศาสนาถือว่าเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง
            ชีวิตนั้นไม่ได้แยกเป็นส่วน ๆ เวลากินอาหาร เราจึงไม่พึงบำรุงเลี้ยงแต่ร่างกายเท่านั้น หากเราควรบำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย โดยกินอย่างมีสติและสมาธิ ขณะเดียวกันก็บ่มเพาะปัญญาให้เกิดขึ้นแก่จิตใจ ด้วยการเตือนตนให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของอาหาร ไม่หลงปล่อยใจไปกับคุณค่าเทียม พร้อมกันนั้นก็ให้ตระหนักว่าเราเป็นหนี้บุญคุณสรรพชีวิต จึงควรใช้ชีวิตให้มีความหมาย
อัน ที่จริงถ้าจะกล่าวให้ครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ นอกจากมิติทางกายและจิตใจแล้ว การกินอย่างพุทธยังแยกไม่ออกจากมิติทางสังคม นั่นคือต้องคำนึงเสมอว่าการกิน (และการบริโภค) ของเรานั้นส่งผลกระทบต่อผู้อื่นหรือไม่ มีอาหารและผลิตภัณฑ์หลายอย่างเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เบียดเบียนคนยากคนจน หรือทรมานสัตว์ หากกินด้วยจิตสำนึกอย่างชาวพุทธจริง ๆ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงอาหารและผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หาไม่จะเท่ากับว่าเราไปส่งเสริมสนับสนุนการเบียดเบียนดังกล่าว
           กาย จิต และสังคมล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และต่างมาบรรจบในแทบทุกกิจกรรมของชีวิต รวมทั้งการกิน การกินจึงมิใช่แค่การหาอาหารใส่ท้องเท่านั้น หากยังเป็นการบ่มเพาะจิตใจของเรา และปรุงแต่งสังคมที่เราอาศัยอยู่ด้วย

แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง


แย้มยิ้ม และ สงบนิ่ง
พระไพศาล วิสาโล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ใครที่ได้ไปพม่า หากมีเวลาหลายวัน ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องไปพุกาม ซึ่งเป็นราชธานีโบราณร่วมสมัยกับนครวัดของเขมร “ทะเลเจดีย์”เป็นสมัญญานามที่คู่ควรกับพุกามโดยแท้ แม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่า ๑,๐๐๐ ปี แต่วัดและเจดีย์โบราณหลายแห่งก็ยังคงรูปทรงร่างเกือบสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในวัดโบราณดังกล่าวก็คือ วิหารอนันดา ซึ่งมีผังทางสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง อีกทั้งมีการก่ออิฐที่มั่นคงแน่นหนา ในวิหารมีอากาศถ่ายเทเย็นสบาย แต่ที่ทำให้เย็นใจสบายจิตก็คือพระพุทธรูปยืนด้านทิศใต้ ซึ่งสูงหลายเมตรและมีอายุนานนับพันปี นี้เป็นหนึ่งในสองของพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ประดิษฐานตั้งแต่สร้างวัด นับเป็นพระพุทธรูปที่งดงามคู่พุกามทีเดียวพระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษประการหนึ่งคือ เมื่อมองไกลสัก ๑๐ เมตรจะเห็นพระพักตร์แย้มยิ้ม แต่หากเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะพบว่ารอยยิ้มได้แปรเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของคนส่วนใหญ่คือพระพักตร์ที่ “บึ้ง” นักท่องเที่ยวจากเมืองไทยจึงเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระยิ้ม-บึ้ง”ที่จริงหากมองให้ดี พระพักตร์ที่มองจากมุมใกล้นั้น หาใช่เป็นพระพักตร์บึ้งไม่ แต่เป็นพระพักตร์ที่สงบต่างหาก เป็นความสงบที่สามารถแผ่ไปถึงใจของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์ หากเขาหรือเธอผู้นั้นสำรวมกายวาจาใจ แล้วมองนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อนที่จะเดินไปไหนเป็นความสามารถอันเอกอุของช่างโบราณที่รังสรรค์พระพุทธรูปไม้องค์นี้ ซึ่งไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงพุทธคุณอย่างครบถ้วน อันได้แก่ พระกรุณาคุณ และพระปัญญาคุณพระกรุณาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่แย้มยิ้ม เปี่ยมด้วยความรักต่อสรรพชีวิต ใครที่ได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้จากมุมไกล ย่อมรู้สึกอบอุ่น หากมีความทุกข์หรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมมีความหวังหรือกำลังใจว่าพระกรุณาคุณจะช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัยส่วนพระปัญญาคุณนั้นแสดงออกด้วยพระพักตร์ที่สงบนิ่งเมื่อมองจากมุมใกล้ เป็นอาการของผู้ที่ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมไม่ว่าลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทุกข์ หรือนินทา ด้วยประจักษ์แจ้งในสัจธรรมของโลกว่าความผันผวนแปรปรวนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพบก็ต้องพราก เมื่อเจอก็ต้องจาก ได้กับเสีย ดีใจกับเสียใจเป็นของคู่กัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ยึดติดในสุขหรือสภาวะฝ่ายบวก ทุกข์หรือสภาวะฝ่ายลบจึงทำอะไรไม่ได้ ด้วยพระกรุณาคุณ พระพุทธองค์จึงทรงช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันพระปัญญาคุณ ก็ทำให้พระองค์ทรงสงบนิ่งได้หากผู้หนึ่งผู้ใดมิอาจพ้นทุกข์ได้ เพราะการที่ใครคนหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้นั้นมิได้อยู่ในอำนาจของพระองค์ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยซึ่งมีอยู่มากมายเกินวิสัยที่ใครจะควบคุมให้เป็นไป ตามใจได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระปัญญาคุณทำให้ทรงมีอุเบกขาหากพระกรุณาคุณไม่ประสบผลใช่หรือไม่ว่าพระพุทธรูปองค์นี้กำลังสอนธรรมแก่เราว่า กรุณาและปัญญาเป็นธรรมที่จำต้องควบคู่กัน แม้มีเมตตาหรือความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ก็จำต้องรู้จักวางใจให้สงบนิ่ง หรือเป็นอุเบกขาด้วยหากไม่สามารถช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้ ผู้ที่มีแต่เมตตาหรือกรุณา หากขาดปัญญาเสียแล้ว ย่อมทุกข์ใจได้ง่ายหากพบว่าตนไม่สามารถช่วยให้คนรักแคล้วคลาดจากทุกข์ได้ เมื่อไม่มีปัญญาเราย่อมติดยึดคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปดังใจ ทั้ง ๆ ที่มันไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย หากแต่ขึ้นอยู่กับกระแสแห่งเหตุปัจจัยล้วน ๆ แต่ถ้าเราตระหนักถึงความจริงข้อนี้ การช่วยผู้อื่นแม้จะทำอย่างเต็มที่ ก็ไม่ยึดติดในผลที่ตามมาว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จิตใจปล่อยวางจากความคาดหวัง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับได้เพราะทำเต็มที่แล้ว จึงไม่ทุกข์ไปกับการช่วยเหลือหรือตั้งจิตปรารถนาดีต่อผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ทำใจสงบนิ่งได้ เราจึงควรฝึกตนให้เป็นดังพระพุทธรูปองค์นี้ คือแย้มยิ้มปรารถนาดีต่อทุกชีวิต และสงบนิ่งต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งกับตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อได้พากเพียรพยายามเต็มที่แล้ว

" อุบายการเลิกเหล้า "

" อุบายการเลิกเหล้า " ......โดยพระคุณเจ้าหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๕ : อุบายเลิกเหล้า
โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา



          "การทำมาหาเลี้ยงชีพไม่รู้จักหา ไม่รู้จักทำ มีแต่กินท่าเดียว มีสตางค์มาก็วิ่งเข้าร้านขายเหล้า
ลงผลสุดท้าย เราก็จะลำบาก เรายังน้อยยังหนุ่ม รีบพยายามที่จะพิจารณาตัว แล้วรีบเลิกละมัน
เสีย นึกถึงตอนแก่นั่นซิ ตอนแก่แล้ว เรามัวแต่เมา ไม่ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ งานการไม่
ทำมีแต่เมา มีแต่กิน เมื่อแก่ลงมา เราหาอยู่หากินไม่ได้ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปหมด เราจะไป
พึ่งพาอาศัยใคร ถ้าเราไม่ดี พี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ พยายามนึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ประเดี๋ยว
ใจมันก็ค่อยๆแข็ง ขึ้น มันก็ค่อยๆเลิกไปเอง เรากำลังหนุ่มแน่น กำลังจะเจริญ พยายามทำใจให้
แข็งเสีย


         วิธีฝึกตน ก็พยายาม ทีแรกนี่ พยายามว่างๆ ก็ไปจำศีลอยู่กับพระกับเจ้าเสีย ทีละอาทิตย์ สอง
อาทิตย์ มันจะค่อยห่างไปๆ ทางโปรดของหลวงพ่อก็มีอย่างนี้แหละ ให้พยายามทำใจให้แข็ง
อดทน ใครมาหาหลวงพ่อ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างนี้ ใครเอาจริง เขาก็เลิกได้ อยู่ที่ใจ... ไม่มีอะไร
แก้ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเห็นความชั่วความไม่ดีของการกินเหล้า เวลาปกติ ที่เราสร่างเมาแล้ว ก็ค่อยๆพิจารณา ดูโทษของมัน พยายามรีบๆ ปรับปรุงตัว อดมันเสีย ตั้งใจให้มันเด็ดขาด แล้วก็อย่าไปสบถสาบาน ตั้งใจให้มันแข็ง ให้นึกถึงใจพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ที่เขาก็เป็นห่วง เป็นใยเรา กลัวเราไม่ได้ดิบได้ดี นึกถึงความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย"

เทคนิคการขับรถถอยหลัง

เทคนิคการขับรถถอยหลัง

การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ไปข้างหน้า ธรรมชาติมักจะอำนวยความสะดวกไว้ให้เพราะเรามีดวงตาอยู่ทางด้านหน้า เช่นเดียวกับการขับรถ มีนักขับรถจำนวนมาก ที่มีความชำนิชำนาญในการขับรถไป ข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว ขับขึ้นเขาลงเขาได้ถูกต้อง แต่พอจะถอยหลังเข้าจอดหรือถอยหลังเพื่อออกรถ หรือถอยหลังเพื่อกลับรถชักจะยุ่งใหญ่ ถอยแล้ว ถอยอีก ไม่ยอมเข้าที่เข้าทางได้สักที บางครั้งมองดูเป็นงุ่มง่ามเงอะงะไปเลยก็มี เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าการขับรถถอยหลังนั้น การหมุนพวงมาลัยจะให้ความรู้สึกกลับกัน เพราะหมุนที่ล้อหน้า แต่กลับมาให้ความรู้สึกสนองตอบที่ล้อหลัง ดังนั้นผู้ที่ไม่ฝึกหัดให้ชำนิชำนาญและคุ้นเคยกับปฏิกิริยานี้ มักจะขับได้ไม่ค่อยดี
อีกประการหนึ่ง การที่เราขับไปข้างหน้าทันทีที่เราหมุนพวงมาลัย ความรู้สึกว่ารถสนองตอบจะเกิดขึ้นทันที แต่การขับรถถอยหลังนั้น หมุนพวงมาลัยไปแล้ว ต้องทิ้งระยะสักชั่วครู่หนึ่งอาการสนองตอบของรถจึงจะเกิดขึ้น ทำให้ความรู้สึกในการขับรถของเราผิดไปจากปกติได้
เคล็ดลับการขับรถถอยหลังประการแรกก็ คือ ต้องพยามยามขับถอยหลังให้ความเร็วรถช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ชินกับการสนองตอบของพวงมาลัยต่อรถ อย่าพยายามหมุนพวงมาลัยในขณะที่รถยังไม่เคลื่อนตัว แต่ให้หมุนทันทีที่รถเคลื่อนตัว จะทำให้หมุนพวงมาลัยได้สะดวก ง่าย เบามือ และยิ่งหมุนพวงมาลัยมากจนเกือบสุด ก็จะทำให้รถเคลื่อนตัวช้ามากขึ้นเท่านั้น
เคล็ดลับประการที่สองก็ คือ ล้อหน้าเท่านั้นที่เป็นจุดเล็งให้รถเข้าสู่เป้าหมาย การขับรถถอยหลังนั้นไม่ใช่ของง่ายนัก การฝึกหัดที่ถูกต้องคือต้องหัดถอยช้า ๆ ไปในทางตรง ๆ ก่อน และค่อย ๆ เลี้ยวเป็นมุมพอคล่องแคล่ว จับอาการได้ดีแล้วจึงฝึกเลี้ยวซิกแซก ที่ยากขึ้น ท่านั่งในการขับถอยหลัง จะต้องขยับตัวจากที่นั่งจากปกติ จะขยับไปทางใด มากน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของคุณว่าเหมาะสมอย่างใด และจะถอยหลังเลี้ยวซ้ายหรือถอยหลังเลี้ยวขวา เช่น ถ้าจะถอยหลังเลี้ยวซ้าย คุณควรจับพวงมาลัยด้วยมือขวาและถือได้ว่าในตำแหน่ง 12 นาฬิกา ส่วนถ้าเลี้ยวขวา ก็ควรถือพวงมาลัยไว้ด้วยมือซ้ายตำแหน่ง 12 นาฬิกาเช่นกัน ถ้าร่างกายอ้วนมาก อึดอัด ก็ให้ใช้มือที่ว่างพาดที่เบาะอีกตัวเพื่อประคองตัวเอาไว้ หรือที่เบาะนั่งของที่นั่งคนขับก็ได้ การหมุนพวงมาลัย เป็นข้อที่ยากลำบากอย่างหนึ่งในการหมุนพวงมาลัยขับรถถอยหลัง เพราะจะต้องหมุนพวงมาลัยเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อยก่อนถึงจุดเลี้ยว และเมื่อคืนพวงมาลัยให้ตรงก็ต้องหมุนให้เร็วว่าปกติสักเล็กน้อย รถจึงจะเข้าอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ทั้งนี้จะต้องประกอบด้วยการถอยอย่างช้า ๆ เพื่อมีเวลาดูสิ่งกีดขวางทั้งข้างหน้าและข้างหลังอย่างระมัดระวังตลอดระยะ เวลาที่รถถอยหลัง
ข้อพึงจำและปฏิบัติในการขับรถถอยหลัง

  1. อย่าถอยรถจากถนนซอกซอย ถนนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโอกาสจะถูกรถที่วิ่งในถนนใหญ่มาชนสูงมาก
  2. อย่าถอยรถจนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย ถึงแม้จะมีคนคอยช่วยดูทางให้ก็ตาม
  3. พยายามอย่าถอยรถในระยะทางยาว ๆ เพื่อความสะดวกแก่ตนเอง เพราะอาจจะเกะกะกีดขวางคนอื่น ๆ และอาจไม่ปลอดภัยด้วย จึงควรถอยหลังให้สั้นที่สุด
  4. ทุกครั้งที่ขับรถถอยหลัง ต้องพร้อมที่จะหยุดรถให้ได้ทุกวินาที
ถ้าทำได้ดังนี้ครบทุกข้อ คุณก็จะขับรถถอยหลังได้โดยถูกต้องและปลอดภัย
ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน

ขับรถบนทางหลวง ตอนกลางคืน การขับรถยนต์ในเวลากลางคืน แน่นอนที่สุดจะต้องทำการเปิดไฟหน้า เหตุผลที่ทำการเปิดไฟหน้ามีต่างๆนาๆ เช่น เพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน เพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ของตนเองให้กับผู้อื่นทราบ และที่สำคัญถูกต้องตามกฎหมายจราจร หากเราขับรถยนต์เพียงลำพังก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ แต่เป็นไปไม่ได้ที่บนถนนหนทางจะมีรถยนต์เพียงคันเดียว ดังนั้น ต้องมีความปลอดภัยทุกครั้งที่ทำการขับขี่
ไฟหน้าของรถยนต์ ที่พบบนถนนทางหลวงมีมากมายหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี, ความสว่าง, ระดับไฟหน้า และอื่นๆ  ถ้ารถยนต์ทุกคัน ไม่มีการปรับแต่งในเรื่องของไฟหน้า ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หมายความว่า รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานอย่างไร ก็ให้ใช้อย่างนั้น เพราะถือว่าเป็นมาตรฐาน และเป็นไปตามกรมขนส่งทางบกกำหนด แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ไฟหน้าไม่เหมือนเดิม จริงอยู่การกระทำดังกล่าว ช่วยให้ผู้ขับขี่มีทัศนะวิสัยดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างมากเช่นเดียวกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ขนาดไฟหน้ารถยนต์มิได้ทำอะไรเลย เมื่อมีคนเดินสวนทางกับรถยนต์ที่กำลังวิ่ง จะมีการปิดตาก็เพราะว่าลำแสงของไฟหน้าส่องตานั่นเอง ซึ่งจะทำให้หน้ามืด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเป็นรถที่วิ่งสวนทางมาก็คงจะเหมือนกัน ผู้ขับขี่ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ชอบกับการที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เท่าใดนัก
หากมีการทำไฟหน้าให้ผิดไปจากเดิม รถที่วิ่งสวนทางมาก็แย่พออยู่แล้วยังมีพวกที่เปิดไฟตัดหมอกหน้า (สปอตไลท์) อีกยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะทำให้รถที่วิ่งสวนทางเกิดอุบัติเหตุได้ ในกรณีขับรถยนต์สวนทางและมีช่องทางวิ่ง 2 เลน จะเห็นได้ว่าไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนนั้น ทำให้หน้ามืดทันที การมองเห็นทิศทางด้านหน้าด้อยลง เมื่อใดเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาลองทำตามวิธีนี้ดูแล้วท่านจะพบว่าได้ประโยชน์ มากเลยทีเดียว
เมื่อเราเดินทางบนถนนหลวงในต่างจังหวัดยามค่ำคืน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กับลำแสงของไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางให้ทำการขับ ขี่ใน “ช่องทางซ้ายสุด” จะได้ประโยชน์ ดังนี้
เมื่อเราอยู่เลนซ้ายสุดบนถนนหลวง ท่านจะพบว่าได้รับแสงไฟหน้า ของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาน้อยลง ทำให้มองทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
รถวิ่งเร็วและต้องการแซงก็ไม่ต้องขอทางจากเราไม่ว่าจะเป็นการบีบแตร หรือ ยกไฟหน้า (ไฟสูง) เพื่อขอทาง เพราะเราอยู่เลนซ้าย
เมื่อเราขับเลนซ้าย บนถนนหลวงจะมีรถขับตามหลังน้อยลง เพราะจะมีแต่รถวิ่งเร็ว เวลามองกระจกมองหลัง หรือ กระจกมองข้าง ก็ไม่เจอกับลำแสงไฟหน้าบ่อยๆ
หากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับช่องทางที่วิ่งเลนซ้าย ความปลอดภัยจะมีมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็ไม่รบกวน
วิธีการที่แนะนำจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการขับรถยนต์บนทางหลวงในต่าง จังหวัด หากไม่สามารถวิ่งทางด้านช่องทางซ้ายมือได้ ให้วิ่งเลนกลาง (ช่องทางวิ่งมี 3 เลน) แล้วท่านจะขับรถยนต์อย่างไม่ยากเย็นมากนัก วิธีการนี้ไม่เจาะจง หรือ บังคับกันได้ครับ แล้วแต่ความถนัด แต่สำหรับผู้เขียน เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดยามค่ำคืน จะใช้วิธีการนี้ครับ ถึงแม้ว่ารถยนต์ของผู้เขียนจะมีไฟตัดหมอกหน้าก็ตาม ก็ไม่รบกวนต่อผู้ขับขี่ท่านอื่นอีกด้วยครับ
แผนกเทคนิคและฝึกอบรม
บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)

อันตรายจากแอ่งน้ำบนถนน

อันตรายจากแอ่งน้ำบนถนน

แอ่งน้ำบนถนนมีอันตรายซ่อนอยู่ บนถนนหนทางเส้นทางเป็นปกติ ผิวของถนนแห้งและเรียบ การควบคุมรถยนต์สามารถทำได้แบบไม่ยากเย็นนัก  ผิดกับถนนที่มีลักษณะไม่คงที่ ,ขรุขระ, ต่างระดับ, เปียกลื่นฯลฯ ย่อมต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ก็มีอยู่มาก  มากที่ถนนปกติ  แต่กลับมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง ดังที่เป็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ แน่นอนเกิดขึ้นจากความประมาทส่วนบุคคล ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากว่าเกิดเหตุแล้วเกิดเฉพาะบุคคลก็จะดีไม่น้อย  แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่นำพาให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายตามไปด้วย  ขนาดเส้นทางเป็นปกติดียังมีปัญหาเกิดขึ้น  ไฉนเลยมีความเป็นปกติเกิดขึ้นบนถนนย่อมมีอุบัติเหตุเป็นเรื่องธรรมดา
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หากทุกคนรู้ล่วงหน้า คำว่า “ อุบัติเหตุ ” คงไม่มี เพราะมีการเตรียมการเตรียมตัวก่อนแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต  และในการนี้จะกล่าวถึงการขับรถยนต์ผ่านแอ่งน้ำบนถนน
การขับรถผ่านแอ่งน้ำมิใช่หรือเหมือนกับการขับรถผ่านน้ำท่วม  การขับรถผ่านน้ำท่วมแน่นอนต้องชะลอความเร็ว  คือใช้ความเร็วต่ำ เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ  แต่สำหรับการขับผ่านแอ่งน้ำ มีความน่ากลัวกว่าน้ำท่วม    ไหนจะการควบคุมรถยนต์   ไหนจะเกิดขึ้นกับสิ่งรอบข้างอีก  ดังนั้น  ในการนี้     ขอเสนอเหตุการณ์สมมุติเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น    ดังนี้
สมมุติว่า มีแอ่งน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร อยู่บนถนนทางด้านล้อด้านซ้าย   (จะพบบ่อยบนถนนในกรุงเทพมหานคร ) บริเวณป้ายรถเมล์ หรือรถประจำทางมีผู้คนยืนอยู่แล้ว มีรถขับมาด้วยความเร็ว  (พอสมควรไม่ต้องถึงขนาดความเร็วสูง )  น้ำที่มีอยู่ในอ่างจะกระเซ็นขึ้นมาโดนสิ่งต่าง ๆ  ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างแน่นอน   ไม่เพียงแต่น้ำเท่านั้น  ตัวรถยนต์จะมีอาการถูกดึงในบางครั้งเสียการทรงตัว หรือเสียการควบคุมหากรถยนต์มีอาการหมุน ลองนึกภาพดูอะไรจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง สิ่งที่ใกล้ตัวเช่น เปลือกกล้วยหอมเมื่อคนเราเหยียบย่อมเกิดการลื่น เสียการทรงตัว ขนาดเราแค่เดินก้าวนะครับ แต่รถยนต์มีการเคลื่อนตัวอย่างเร็วตอนวิ่งอยู่ ดังนั้น อาการที่เกิดขึ้นย่อมมีมาก แต่ถ้าขับด้วยความเร็วต่ำรถยนต์คงไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้นให้เห็น ก็เท่ากับว่า  การบังคับ ควบคุมรถยนต์ทำได้ แต่ถ้าเราขับรถด้วยความเร็วที่สูงตัวรถยนต์จะมีอาการดึงอย่างชัดเจน แล้วถ้าขณะนั้นจับพวงมาลัยไม่แน่น บวกกับมีอาการตกใจ อะไรย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หากพบถนนมีลักษณะเช่นนี้  ผู้ขับขี่จะต้องสังเกตแล้ววิเคราะห์ว่า จะทำอย่างไร อย่างเช่น ถ้าขณะนั้นหักหลบได้  ก็ให้ควบคุมรถไปในอีกทิศทางหนึ่ง   แต่ถ้าหลบไม่ได้  ให้ลดความเร็วรถยนต์ลง พร้อมกับการแตะเบรกก่อนที่จะถึงแอ่งน้ำ เพราะถ้าเบรกที่ตรงแอ่งน้ำ รถยนต์ก็จะเกิดอาการหมุนปัด ก็จะเกิดอุบัติเหตุอีก การจับพวงมาลัยต้องแน่นขึ้นถึงกับเกร็งทั้งแขนเลย และนี้ก็เป็นวิธีการที่แนะนำ ที่ได้ผลดี
อนึ่งความไม่ประมาทนำมาซึ่งความปลอดภัย  เหตุการณ์ตามหัวเรื่อง  บางท่านเคยมีประสบการณ์แล้วก็จะเห็นภาพดียิ่งขึ้น   สำหรับมือใหม่ควรกระทำตามคำแนะนำ อย่าลืมนะครับ   ปัจจุบันรถติดไฟแดงก็นานพออยู่แล้ว ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จะขนาดไหน ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเอง
แผนกเทคนิคและฝึกอบรม
บริษัท พิธานพานิชย์   จำกัด ( กรุงเทพฯ )
ข้อมูลจาก: www.phithan-toyota.com

จัยกลไกสมอง อธิบายเหตุ "ขับห้ามคุย"

จัยกลไกสมอง อธิบายเหตุ "ขับห้ามคุย"


นักวิจัยมะกันเผยผลสำรวจกลไกการทำงานของสมอง เหตุที่อธิบายได้ว่า ทำไมการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถถึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์ในเมืองบัลติมอร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวระบุว่า การทดสอบการทำงานของสมองขณะขับรถไปพร้อม ๆ กับการคุยโทรศัพท์นั้น เซลล์สมองสามารถประมวลผลการทำงานทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน คือ การใช้สายตามองถนนขณะขับรถ และการฟังเสียงที่พูดอยู่ ณ ปลายสาย แต่ทว่า ไม่สามารถแยกทำงานทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"จากการวิจัยเราสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ แม้ว่าผู้ขับรถจะใช้แฮนด์ฟรีก็ตาม" สตีเวน ยานทิส ศาสตราจารย์แห่งภาควิชาฟิสิกส์และวิทยาการของสมอง กล่าว
"การให้ความสนใจกับการฟังบทสนทนาขณะขับรถมีผลทำให้ระบบการรับข้อมูลภาพจากดวงตามีประสิทธิภาพลดลง"
ผลงานข้อเขียนของยานทิสและคณะซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสาร Neuroscience ระบุว่า เขาได้ทำการทดสอบกับคนที่มีอายุระหว่าง 19 - 35 ปีโดยให้กลุ่มทดสอบดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะที่หูสวมเฮดโฟนอยู่ ซึ่งขณะทำการทดสอบสมองของอาสาสมัครจะถูกสแกนโดยเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เขากำหนดให้กลุ่มอาสาสมัครมองหาชุดตัวเลขกลุ่มหนึ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไปพร้อม ๆ กับการฟังเสียงตัวเลขจำนวนมากผ่านทางเฮดโฟน เมื่ออาสาสมัครให้ความสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมองในส่วนของการฟังก็จะลดการทำงานลง
เช่นเดียวกับการขับรถไปพร้อม ๆ กับสนทนาทางโทรศัพท์มือถืออย่างออกรสนั่นเอง "คุณสามารถเลือกที่จะให้ความสนใจกับการมองเห็น หรือการฟังเสียงได้ ที่สุดแล้วอยู่ที่คุณเป็นคนตัดสินใจ" ยานทิสกล่าวในท้ายที่สุด

ที่มา : http://www.dmh.go.th

ข้อพึงระวังสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า

ข้อพึงระวังสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า

รถยนต์แต่ละคันกว่าจะได้มาแสนยากลำบาก การบำรุงรักษาตลอดการใช้งานอาจจะยากกว่า และในบทความที่จะกล่าวถึงนี้ จะอยู่ในส่วนของการขับเคลื่อนนั่นก็คือ "เพลาขับ" ชิ้นส่วนดังกล่าวจะถูกติดตั้งอยู่ระหว่างชุดเกียร์กับล้อ การหมุนของเพลาขับจะเท่ากับการหมุนของล้อ
การทำงานถือว่าหนักมากและสำคัญมาก ซึ่งสาระสำคัญไม่เกี่ยวกับการหมุนของล้อแต่อย่างใด แต่จะกล่าวถึงในส่วนที่พึงระวังคือ "การเลี้ยวในวงแคบ" แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ? ในรถยนต์โตโยต้า มีด้วยกันหลายรุ่น นับตั้งแต่ ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา
  • CORONA
  • COROLLA
  • CAMRY
  • VIOS
  • SOLUNA
  • YARIS
  • CELICA
ข้อพึงระวังดังกล่าวไม่เพียงแต่ในรถยนต์โตโยต้าเท่านั้น แต่รวมถึงรถยนต์ยี่ห้ออื่นที่เป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเช่นกัน

ใน การเลี้ยวหรือกลับรถในพื้นที่แคบ ผู้ขับขี่แต่ละท่านการขับขี่ไม่เหมือนกัน เช่น ช้าบ้าง-เร็วบ้าง หรือตีวงกว้าง-ตีวงแคบ แตกต่างกันไป แต่ในสภาพการจราจรที่แออัด จำเป็นที่จะต้องเร่งรีบ เลยทำให้ส่งผลถึงตัว "เพลาขับ" นั่นเอง
แล้วเกี่ยวกับเพลาขับตรงไหน ?
การที่เลี้ยวหรือกลับ รถในที่แคบแล้วไหนจะรีบอีก(คันหลังจะต่อว่าเอา) เลยทำให้รีบหักพวงมาลัย แล้วเร่งเครื่องอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลนี้เพลาขับ(ด้านติดล้อ) จะถูกหักเลี้ยวตามการเลี้ยว ลูกปืนที่หัวเพลาจะเกิดการบิดตัวภายในอย่างรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอสูง ถ้ากระทำเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้หลวมคลอนเร็วกว่าการใช้งานปกติ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีเท่าไรต่อท่านเจ้าของรถ การซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยน จะมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นในการเลี้ยวแต่ละครั้งให้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย
อีกจุดหนึ่งที่จะชำรุดก่อนก็คือ "ยางกันฝุ่นเพลาขับ" ตัวที่ติดล้อนั่นแหล่ะ ยางกันฝุ่นเป็นยาง ย่อมมีอายุการใช้งานเหมือนยางทั่ว ๆ ไป แต่ถ้ามีการเลี้ยวเหมือนข้อความข้างต้นก็จะทำให้ฉีกขาดเร็ว ในเมื่อฉีกขาดเร็วก็จะทำให้สารหล่อลื่น(จารบี) หลุดออกจากชุดลูกปืนหัวเพลา และเมื่อเป็นเช่นนี้ หัวเพลาจะได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อยางกันฝุ่นเพลาขับตัวใดตัวหนึ่งขาดให้รีบซ่อมโดยด่วน มิฉะนั้นจะส่งผลให้เพลาหลวมคลอนได้และเปลี่ยนในที่สุด

จะรู้ได้อย่างไรว่ายางกันฝุ่นเพลาขับชำรุด หรือฉีกขาด ?
โดย ทั่วไปแล้วยางกันฝุ่นเพลาขับตัวนอก(ด้านติดล้อ) จะขาดก่อน ให้สังเกตว่ามีคราบจารบีหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ทางด้านในของล้อนั้นๆ แสดงว่าขาดแน่นอน แต่จะให้ชัวร์เลยก็ให้ก้มลงดูใต้ท้องรถก็จะทราบว่ามาจากจุดใด หรือให้ช่างผู้ชำนาญงานตรวจสอบก็จะดียิ่งขึ้น
วิธีใดที่ช่วยให้การใช้งานยาวนาน ?
  1. เลี้ยวรถหรือกลับรถด้วยความเร็วต่ำ
  2. ให้ตีวงเลี้ยวกว้าง(ถ้าเป็นไปได้)
  3. หลีกเลี่ยงการหักพวงมาลัยสุด หรือหักเลี้ยวสุดขณะรถเคลื่อนที่
  4. ตรวจสภาพยางกันฝุ่นเพลาขับสม่ำเสมอ(เริ่มชำรุดเปลี่ยนทันที)
  5. ตรวจสอบสารหล่อลื่น(จารบี) ในเพลาขับ อันนี้ตรวจสอบเองลำบาก คงให้ช่างตรวจสอบ
*** เพียงเท่านี้ เพลาขับของท่านก็จะอยู่ตราบนานเท่านาน ตลอดอายุการใช้งานครับ ***

ข้อมูลจาก : แผนกเทคนิคและฝึกอบรม บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)

รู้จักกฏ 5 ร. ช่วยคุณขับรถปลอดภัย

รู้จักกฏ 5 ร. ช่วยคุณขับรถปลอดภัย

ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสั้งคมถนนทุกวันนี้นับวันๆ จะมีแต่แย่ลงไป เพราะความมีน้ำใจบนท้องถนนเอดหายกันไปตามเวลา แม้สภาวะโดยรวมจะแย่อย่างที่เรากล่าวแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญ หากคุณต้องการขับขี่อย่าปลอดภัย วันนี้เรามีกฏที่เรียกว่า 5 ร. มาฝากกัน การขับรถภายใต้กฏ 5 ร. นั้นเป็นวิถีปฏิบัติที่ทางกองบังคับการตำรวจจราจร แนะนำให้ผู้ขับรถทุกท่านควรปฏิบัติตาม เพื่อให้การจราจรมีความคล่องตัว และไร้ปัญหาจากขับขี่ ซึ่งในทางกลับกันนั้นมันก็หมายถึงคุณจะเดินทางกันได้อย่างปลอดภัยมากยิ่ง ขึ้น ดังนั้นเราจึงควรไปทำความรู้จักฏ 5 ร. กันเลย
รู้จักกฏ 5 ร. ช่วยคุณขับรถปลอดภัย
  1. รอบรู้เรื่อง "รถ" นักขับที่ดีจะต้องรอบรู้เรื่องรถที่ ขับขี่เป็นอย่างดี หมั่นตรวจตราและซ่อมแก้ไขข้อบกพร่องอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อนออกรถเดินทางไกลก็ควรจะตรวจสอบอุปกรณ์สำคัญๆในรถ อันได้แก่   (1) เครื่องยนต์ (2) ห้ามล้อ (3) ยาง (4) นอตบังคับล้อ (5) พวงมาลัย (6) ที่ปัดน้ำฝน (7) กระจกส่องหลัง (8) ไฟ
  2. รอบรู้เรื่องทาง เส้นทางแต่ละสายย่อมแตกต่างกัน โดยสภาพภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อม ถ้าเป็นเส้นทางไม่เคยไป ควรศึกษาจากแผนที่ คู่มือการท่องเที่ยว ถามผู้รู้ หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เช่น กรมทางหลวง,ตำรวจท้องที่ ฯลฯที่สำคัญ ที่สุดท่านจะต้องสังเกตและปฏิบัติตามป้ายและเครื่องหมายจราจร รู้จักกฏ 5 ร. ช่วยคุณขับรถปลอดภัย
  3. รอบรู้เรื่องวิธีขับรถ การขับรถเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ขับรถเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้วิธีแก้ไข ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยฉับพลัน และสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยมิได้คาดคิด เนื่องจากขาดความชำนาญ เช่น เบรกจะทำอย่างไร
  4. รอบรู้เรื่องกฎจราจร กฎจราจรมีไว้เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนประพฤติปฏิบัติในแนวเดียวกัน เพื่อรักษาความปลอดภัยและช่วยในเรื่องความสะดวกรวดเร็ว ในการจราจร
    รู้จักกฏ 5 ร. ช่วยคุณขับรถปลอดภัย
  5. รอบรู้เรื่องมารยาทในการขับรถ มารยาทในการขับรถมีความสำคัญไม่น้อยในการใช้รถใช้ถนน นักขับขี่ ที่ดีควรแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ อะลุ้มอล่วย เห็นใจ แนะนำและให้อภัย ต่อความผิดพลาดของผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการแสดงมารยาทที่ไม่สมควร   เป็นอย่างไรกันบ้างกับคำแนะนำหลักการขับรถเบื้องต้นง่ายๆ ของเหล่าพี่ตำรวจที่จะช่วยให้คุณขับรถปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ยังไงลองจำไปปฏิบัติกันดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับรถทางไกล ภาพประกอบบทความจาก gettyimages.com Sanook! Auto Comment สำหรับกฏ 5 ร. ที่เรานำมาฝากกันนี้ นับว่าเป็นหลักปฏิบัติในการเดินทางที่ดีที่คุณควรจะรู้อะไรมากกว่าเพียงจุด หมายปลายทางที่ต้องการไป เพราะการที่คุณขับรถได้ไม่ได้หมายความว่าคุรขับรถเป็น ควรจะมีการศึกษาเส้นทางและระแวดระวังอุบัติเหตุ ใช้สติในการขับรถมากขึ้น

เคล็ดลับวิธีประหยัดน้ำมันที่ใช้ได้ผลจริง

 เคล็ดลับวิธีประหยัดน้ำมัน ที่ใช้ได้ผลจริง

ข้อมูลทั่วไป หลังจากอัดอั้นมานาน ในที่สุดบรรดาผู้ผลิตน้ำมันล่าสุดก็ประกาศขึ้นราคาน้ำมันไปอีกครั้งเมื่อ ปลายสัปดาห์ที่ผ่านเราเองผู้ใช้รถก็คงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ และทนแบกรับภาระใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 60 สตางค์ แต่ถ้าใครกำลังหาหนทางวิธีขับรถอย่างไรให้ประหยัด วันนี้เรามีแนวทางดีๆมาฝากกัน 11 เคล็ดลับวิธีประหยัดน้ำมัน ที่ใช้ได้ผลจริง                                        
1. เติมน้ำมันแต่พอดีอย่าล้น … ความจริงแล้วปัจจุบันนับว่าหาได้ยากนักที่คนจะเติมน้ำมันจนเต็มแต่หากคุณ เติมน้ำมันแบบบอกว่าน้อง! เต็มถังเลย ก็ให้ระลึกไว้ว่าอย่าให้เด็กปั้มผู้ใสซื่อกดหัวจ่ายเอาซะถึงคอหอยจนจะทะลัก ออดมาข้องนอก เพราะนั่นไม่ได้ช่วยให้ได้คุ้มค่าแต่กลับจะทำให้น้ำมันถูกบ้วนทิ้งออก เมื่อน้ำมันมีอุณภูมิสูงขึ้น 
2.เติมเต็มถังถ้ามีโอกาส อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ควรปฏิบัติ เนื่องจากการเติมน้ำมันเต็มถังจะทำให้แรงดันในถังมีเยอะ เมื่อแรงดันในถัง ก็หมายความว่า น้ำมันที่ถูกดูดไปใช้จะไม่ลดลงเร็วกว่าปกติ และยังช่วยรักษาปั้มเชื้อเพิลงที่อยู่ในถังไม่ให้ร้อน ซึ่งจะทให้เสียหายเร็วกว่าอายุการใช้งานทั่วไป 
3.ตัดคอมแอร์ก่อนถึงที่หมาย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบแอร์รถยนต์มีส่วนทำให้เครื่องยนต์มีอัตรากินน้ำมัน เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากมายจนเด่นชัดเท่ากับอัตราเร่ง โดยปกติการทำงานของคอมแอร์ที่ใช้สายพานฉุดเวลาวิ่งนั้นคอมแอร์แทบไม่ได้มี ส่วนกินน้ำมันเลยก้ว่าได้ แต่หากรถขับเคลื่อนตัวช้าก้จะมีผลเด่นชัดเลยทีเดียว การตัดคอมแอร์ก่อนถึงที่หมายถือว่าเป้นเรื่องที่ควรทำเพราะ นอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการไล่ความชื้นและเชื้อราในตู้แอร์ได้ด้วย ด้วยเพียงๆง่ายปลายนิ้วเพียงกดปิดปุ่มที่เขียนว่า A/C เท่านนี้ก็เซฟไปอีกนิดแล้ว 11 เคล็ดลับวิธีประหยัดน้ำมัน ที่ใช้ได้ผลจริง 4.หมั่นตรวจสอบลมยาง ข้อนี้ควรทำเป้นประจำเมื่อเข้าใช้บริการในปั้ม แม้จะเสียเวลาอีกนิดแต่ก็ช่วยให้คุณประหยัดขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากยางที่มีลมยางอ่อนจะมีแรงเยทานมากกว่ายางที่ได้เติมลมพอดี ซึ่งยางที่มีลมยางอ่อนเกินไปจะมีแต่ทำให้ศูนย์เสียพลังงานโดยใช่เหตุ 
5.ใช้รอบเครื่องยนต์ในย่านความเร็วที่เหมาะสม แม้จะมีการพูดถึงแนวทางการประหยัดอย่างมากและหลายครั้งที่เขาได้ยินว่าขับ ไม่เกิน 90กม./ชม. แต่เราอยากจะแนะนำเพียงว่าให้ใช้รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ระหว่าง 1900-2800 รอบ หรือใช้ความเร็วที่เหมาะสมที่ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกำลังพอดี 
6.อย่าถอยหลังเร็วๆ เกียร์ถอยหลังเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดสูงที่สุดในอัตราทดการถอยหลังเร็วก็ เหมือนทำให้เครื่องทำงานหนักโดยใช่เหตุ ความจริงแล้วเวลาถอยหลังเราก้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าถอยเร็วเลยไม่มีประโยชน์ 7.อย่าทำรถเป็นบ้าน อันนี้เป้นสิ่งที่พบได้ในคุณผู้หญิงหลายๆคน ที่คุณเธอชอบใส่อะไรต่อมิอะไรไว้ในรถรกเยอะแยะไปหมด ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เนื่องจากของที่เพิ่มขึ้นในรถหมายความถึง น้ำหนักที่เพิ่ม และน้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นหมายความว่าเราต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนตืเท่า เดิมลากตัวถังที่หนักขึ้นด้วย ซึ่งเฉลี่ยทำให้สิ้นเปลืองกว่าถึงน้อยละ 20 เลยทีเดียว
8.ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์เป็นประจำ หลายคนมักละเลยฝนการตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์ตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง จงพึงสำนึกว่า “เราดูแลรถ..รถดูและเรา” เพียงเท่านี้มันก้จะไม่เกเร และการถ่ายน้ำมันเครื่องสม่ำเสมอทำให้เครื่องยนต์ไม่สึกหรอและมีอัตราสิ้น เปลืองคงที่ 9.อย่าติดกับเกียร์ D อันนี้คนใช้เกียร์ออโต้เป็นประจำและเป็นบ่อยด้วยสิ เนื่องจากรถเกียร์อัตโนมัติชุดเกียร์จะทำงานเปลี่ยนอัตราทดเองเมื่อถึงรอบ ที่เหมาะสม แต่ที่จริงแล้วหากคุณต้องขึ้นสู่ที่สูงควรใช้อัตราทดเกียร์ที่เหมาะสมคือ เลื่อนไปตำแหน่ง 2 หรือ N ก่อนขึ้นทางลาดชัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เครื่องไม่ต้องมีภาระหนักเพิ่ม และดูจะขึ้นได้ลื่นกว่าด้วย 11 เคล็ดลับวิธีประหยัดน้ำมัน ที่ใช้ได้ผลจริง 
10. อย่าออกรถเร่งเต็มที่หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ ตามหลักความจริงแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกสู่ถนนประมาณ 3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องเข้าไปหล่อลื่นอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งช่วยลดการสึกหรอของการเสียดทานอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่องยนต์ หากเรสตาร์ทเครื่องแล้วเร่งตัวออกรถเลยจะทำให้น้ำมันยะงไปไม่ทั่วถึง และยังทำให้เครื่องสึกหรอเร็วกว่าปกติด้วย 
11. อย่าคิกดาวน์เกินความจำเป็น อันนี้สำหรับเกียร์ออโต้อีกแล้ว และดูเหมือนมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจกับการคิกดาวน์ที่มันมีความหมายเท่ากับ เปลี่ยนเกียร์ลง1ระดับในรถเกียร์ธรรมดา การคิกดาวน์นั้นช่วยในเรื่องอัตราเร่ง แต่กลับกันก็มีผลเสียในเรื่องความประหยัดทางที่ดีควรขับรถไปเรื่อยๆในอัตรา ที่เหมาะสม ถ้าจะแซงก็ควรค่อยๆกดคันเร่งอย่าเหยียบมิดจนคิกคาวน์ เพราะมันจะทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ ยกเว้นว่าจำเป็นจริงๆ ยังไงก็ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้กันดู แม้จะไม่ได้มีผลอย่างเด่นชัด แต่มันก็ช่วยให้คุณสามารถประหยัดขึ้นได้อีกเล็กน้อย ถึงจะไม่เยอะ แต่ก็ยังไงมันก็สามารถทำให้คุณไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อยเท่าเดิม หรือเสียเงินไปหาวิธีประหยัดแบบอื่นโดยใช่เหตุ ขอบคุณภาพประกอบจาก getty image
ข้อมูลจาก: auto.sanook.com

วิธีการเล่น BB GUN

ปืนอัดลมไฟฟ้านี้ถูกพัฒนามาเพื่อความสนุกสนานเพลิด เพลินในกีฬายิงปืนที่ มีความปลอดภัย ถ้าผุ้เล่นปฎบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด ผู้เล่นจะได้รับประสบการณ์ที่เหมือนจิงดั่งอยู่ในสนามรบกับ ปืน อัดลมนี้และช่วยเพิ่มความสามารถในการยิงปืนของผู้เล่น ปืนอัดลมนี้ สามารถยิง กระสุน BB ได้ไกล ราว 50-60 เมตร การเล่นโดยขาดความระมัดระวังจะทำให้เกิดอันตราย อาจตาบอด หรือ บาดเจ็บได้ ผู้เล่นต้องแน่ใจว่าได้อ่านข้อควรระวังและกฎต่าง ด้านล่าง อย่างถี่ถ้วน คำเตือน – การใช้ปืนอัดลมเพื่อการแข่งขันผู้เล่นต้องอายุ 18 ปี หรือมากกว่า การเล่นโดยขาดความระมัดระวัง อาจทำให้ตาบอดและบาดเจ็บได้
ข้อ 1 ข้อ 2
ควรสวมแว่นป้องกันเสมอ ขณะใช้งานอย่ายิงใส่ผู้อื่น หรือ สัตว์เด็ดขาด
ข้อ 3

การยิงใส่ผู้อื่นแบบมั่วๆ ผู้เล่นอาจถูกจับได้

ข้อ 4

สวมปลอกป้องกันที่ปากกระบอกปืนเสมอ

ข้อ 5
อย่ามองเข้าไปในปากกระบอกปืนเด็ดขาด
ข้อ 6

โปรดระมัดระวังในการเหนี่ยวไกปืน

ข้อ 7

โปรดหันปากกระบอกปืนในทิศทางที่ปลอดภัย

ข้อ 8

อย่ายิงปืนในที่ๆมียวดยานผ่านไปมา

ข้อ 9

โปรดเก็บปืนในกล่องหรือกระเป๋าเวลาขนย้ายหรือไม่ได้ใช้งาน

ข้อ 10

โปรดเก็บให้ห่างมือเด็ก

ข้อ 11

กระสุนในรังเพลิงอาจลั่นได้แม้ แม็กกระสุนจะถูกถอดออก

ข้อ 12

1. สวมปลอกป้องกันที่ปากกระยอกปืนเสมอ
2. ควรปรับ ปืนเป็น โหมด Safety เสมอ
3. ควรถอด Magazine ออก เสมอ
4. ควรถอด Battery เสมอ

ข้อ 13

หากยังไม่ยิงควรวางนิ้วให้พ้นจากไกปืน

ข้อ 14

หากปืนเสียห้ามซ่อม ถอด แกะ เอง โดยเด็ดขาด

"ปืน BB กับกฎหมายอาวุธปืน"

บทความพิเศษ "ปืน BB กับกฎหมายอาวุธปืน"
        เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจุบันมีผู้นิยมเล่นปืน BB กันอย่างแพร่หลาย จำนวนนักเล่น BB ซึ่งเป็นกีฬาที่ให้ทั้งความสนุกสนาน และความท้าท้ายนี้ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่เล่นกีฬา BB Gun อยู่ ก็อาจจะรู้สึกสงสัยว่า การเล่นกีฬาชนิดนี้นั้น ผู้เล่นจำเป็นต้องมีใบอนุญาตให้มี และใช้ปืน BB ด้วยหรือไม่ นอกจากนี้แล้ว การไปเล่นกีฬา BB ที่สนามในแต่ละครั้งนั้น ผู้เล่นแต่ละคนย่อมจำเป็นจะต้องเดินทางโดยมีปืน
        BB      ละการพกพาปืน BB ติดตัวไปในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เพราะปืน BB นั้น หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวแล้วละก็ แทบจะมีลักษณะ ไม่ผิดไปจาก อาวุธปืนจริง ๆ เลยดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมาย ที่มักจะสร้างความค้างคาใจให้กับเจ้าของปืน BB ส่วนใหญ่จึงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ

1. การมีปืน BB ไว้ในครอบครองต้องมีใบอนุญาตให้มี และใช้ตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 หรือไม่ และ

2. การพกพาปืน BB เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ หรือไม่ และ

3. เราควรปฏิบัติอย่างไรในการพกพาปืน BB ไปยังสนาม BB เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น


BB Gun ถือเป็นอาวุธปืนหรือไม่

กองพิสูจน์หลักฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำ การพิสูจน์ และวินิจฉัยแล้วว่า ปืน BB ไม่ใช่อาวุธปืน แต่เป็น "สิ่งเทียมอาวุธปืน" ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 โดยกฎหมายดังกล่าว ได้ให้ความหมายของคำว่า "สิ่งเทียมอาวุธปืน" หมายความถึง สิ่งซี่งมีรูปและลักษณะอ้นน่าจะทำให้หลงเชื่อว่า เป็นอาวุธปืน จากคำนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สิ่งใดก็ตามที่มีรูปและลักษณะ อันทำให้หลงเชื่อว่า

เป็นอาวุธปืน จะเป็นเพียง "สิ่งเทียมอาวุธปืน" ไม่ใช่ "อาวุธปืน" และจากคำนิยามดังกล่าว ลำพังชิ้นส่วนของปืน BB ก็ไม่ใช่อาวุธปืน เพราะชิ้นส่วนของปืน BB ไม่อาจทำให้ผู้ที่พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นอาวุธปืน ซึ่งคำนิยามของคำว่า "สิ่งเทียมอาวุธปืน" จะแตกต่างจากนิยามของคำว่า "อาวุธปืน" ที่กฎหมายให้ความหมายรวมถึงว่า เพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืน ก็ให้ถือเป็นอาวุธปืนด้วย

เมื่อปืน BB ไม่ใช่อาวุธปืน แต่เป็นเพียง "สิ่งเทียมอาวุธปืน" การมีปืน BB ไว้ในครอบครอง จะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่?

การมีปืน BB ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในครอบครองนั้น ไม่มีความผิด และ ไม่จำเป็นต้องได้รับใบอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แต่อย่างใด เนื่องจากพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่มีสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง ได้ ต้องมีใบอนุญาต ให้มีสิ่งเทียมอาวุธปืน

ไว้ในความครอบครองก่อน ซึ่งแตกต่างจาก เรื่องอาวุธปืน ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ที่มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครอง จะต้องได้รับใบอนุญาตก่อน

การพกพาปืน BB ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ มีความผิดตามกฎหมายหรือไม่?

การพกพาปืน BB ติดต้วไปในสถานที่ดังกล่าวข้างต้น ก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เช่นกัน เนื่องจากพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ไม่ได้บัญญัติกำหนดว่า ผู้ที่พกพาสิ่งเทียมอาวุธปืน ไปในสถานที่ดังกล่าวข้างต้น จะต้องมีใบอนุญาตให้พกพาสิ่งเทียมอาวุธปืนนั้น ๆ ก่อน ซึ่งแตกต่าง จากการพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ซึ่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ กำหนดให้ผู้ที่พกพาอาวุธปืนติดตัวไปนั้น

จะต้องได้รับใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนกระบอกนั้น ๆ ไปในที่สาธารณะได้ แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าการพกพาปืน BB ติดตัวไปในที่สาธารณะโดยเปิดเผย จะไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงจำคุก แต่ก็มิใช่ว่าผู้เล่นปืน BB จะสามารถเดินถือปืน BB ไปในที่สาธารณะอย่างเปิดเผยได้ เนื่องจากปืน BB นั้น มีลักษณะที่เรียกได้ว่า แทบจะไม่แตกต่างไปจากอาวุธปืนของจริงเลยทีเดียว ผู้ที่พบเห็นย่อมเข้าใจผิด คิดว่าปืน BB เป็นอาวุธปืนได้ นอกจากนี้ ด้วยคุณลักษณะของปืน BB แม้จะไม่ใช่อาวุธปืน แต่ปืน BB ก็ยังอาจจะถูกนำมาใช้เป็นอาวุธได้ ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 จึงกำหนดไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดก็ตาม พาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผย หรือไม่มีเหตุอันควร ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบอาวุธนั้น




ควรปฏิบัติอย่างไรในการขนย้ายปืน BB และอุปกรณ์ในการเล่น BB Gun
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น ผู้มีปืน BB ไว้ในครอบครอง จึงควรใช้ ความระมัดระวัง และปฏิบัติต่อปืน BB ในการพกพา และขนย้าย เฉกเช่นเดียวกับ ที่พึงปฏิบัติต่ออาวุธปืน กล่าวคือ ไม่พกพาปืน BB อย่างเปิดเผย (พกพาในลักษณะที่ ผู้อื่นสามารถ เห็นได้ ไม่ว่าโดยง่ายหรือต้องสังเกต) ไปในที่ สาธารณะ และเมื่อทำการขนย้าย ก็ควรเก็บปืน BB และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้เล่น BB Gun ไว้ใน

ที่เก็บสิ่งของ ท้ายรถยนต์ โดยควรมีกระเป๋าใส่ปืน BB แยกต่างหากจากกระเป๋าใส่ที่บรรจุกระสุน (แม็กกาซีนปืน) และอุปกรณ์อื่น ๆ


สรุปหลักการและข้อกฎหมายอ้างอิง

ปืน BB ไม่ใช่อาวุธปืนตาม มาตรา 4(1) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (โดยความเห็น จากการพิสูจน์ โดยกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ซึ่งบทบัญญัติในมาตรา 4(1) ระบุไว้ อย่างชัดเจน ดังนี้


มาตรา 4
"อาวุธปืน" หมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิด ซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิด หรือกำลังดันของแก๊ส หรืออัดลม หรือเครื่องกลไกอย่างใด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงาน และ ส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธนั้น ๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญ และได้ระบุไว้ ในกฎกระทรวง (กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2490))


เนื่องจากปืน BB ไม่ใช่อาวุธปืน การซื้อ (ไม่รวมถึงการนำเข้า) มี และใช้ปืน BB ไม่ต้อง ขออนุญาต ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

มาตรา 7
ห้ามมิให้ผู้ใดทำการ ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้า ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่


เนื่องจากปืน BB ไม่ใช่อาวุธปืน การพกพา และขนย้ายปืน BB โดยมิดชิด และ ไม่เปิดเผยไปในยานพาหนะ หรือ กับตัวผู้ขนย้าย ไม่เป็น ความผิด ตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

มาตรา 8 ทวิ
ห้ามมิให้ผู้ใดพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัว เมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์ ไม่ว่ากรณีใด ห้ามมิให้พาอาวุธไปโดยเปิดเผย หรือพาไปในชุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ หรือการอื่นใด

"นอนกัดฟัน" อันตรายกว่าที่คิดไว้

นอนกัดฟันคืออะไร? นอนกัดฟัน เป็นความผิดปกติ เกิดขึ้นขณะกำลังหลับ โดยมีลักษณะขบเน้นฟันแน่นๆ หรือฟันบนล่างบดถูไถ ซ้ำๆ กัน คนนอนกัดฟันมักไม่รู้ตัวเอง และเสียงที่เกิดจากนอนกัดฟัน...

ระวัง! ผลไม้อบแห้งนำเข้า

ผลไม้เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วย คุณค่าทางอาหาร รับประทานเป็นผลสดก็ได้รับวิตามินไปเต็มๆ แต่ถ้าไม่สะดวก ลองหันมามองผลไม้อบแห้งชนิดต่างๆ บ้างก็ดี ส่วนใหญ่แล้วคนไทยไม่นิยมรับประทานผลไม้อบแห้งกันนัก...

ระวังภัยจากซีสต์

ระวังภัยจากซีสต์
ซีสต์เต้านม

เราควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเพื่อป้องกันวิธีการก็ง่ายๆๆ เพียงนอนลง ยกแขนข้างหนึ่งแล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างหนึ่งคลำให้ทั่ว หากคลำพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ที่เต้านมก็ควรไปพบแพทย์ อย่าได้นิ่งนอนใจหรืออายหมอเพราะมันอาจไม่ใช่ซีสต์ธรรมดาที่ยุบไปได้เอง แต่มันอาจเป็นซีสต์ที่ยุบหนอพองหนอเรื้อรัง หรือเป็นมะเร็งเต้านมก็ได้
ซีสต์เกิดขึ้นได้อย่างไร
เป็นผู้หญิงก็คงหนีไม่พ้นวงจรรอบเดือนในแต่ละเดือน และรอบเดือนนี่แหละที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ และตัวรังไข่จะถูกกระตุ้นให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะมีไข่ตกและ เตรียมให้มีการฝังตัวของรังไข่เมื่อมีการตั้งครรภ์ ต่อมน้ำนมก็จะพองตัวขึ้นด้วยเพื่อเตรียมผลิตน้ำนม และเมื่อฮอร์โมนลดลง ประจำเดือนหมด ต่อมน้ำนมก็จะยุบลง แต่ถ้าต่อมน้ำนมพองตัวแล้วไม่ยุบลงก็จะเกิดเป็นซีสต์ขึ้นมา
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดซีสต์
มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป (แต่ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้ จะทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้)สิ่งแวดล้อม และอาหารปนเปื้อน สารเคมี ไปช่วยกระตุ้น ให้มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น
อาการของซีสต์
ซีสต์เพิ่มจำนวนขึ้นเนื่องมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งอยู่ในเซลล์ของเต้านม พร้อมกันนี้เซลล์จะเติบโตขึ้นในต่อมน้ำนม และจะรู้สึกเจ็บก่อนมีประจำเดือนทำให้รู้สึกตึงเต้านมเล็กน้อย จนกระทั่งเจ็บเมื่อสัมผัสแตะต้อง ผู้หญิงอาจกังวลว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วซีสต์ส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นมะเร็ง โดยสังเกตได้คร่าวๆด้วยตัวเองคือ ซีสต์จะโตๆยุบๆตามรอบเดือน แต่มะเร็งจะโตขึ้นเรื่อยๆ อาการของซีสต์เต้านมจะเจ็บปวด ส่วนมะเร็งจะไม่มีอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ซีสต์จะมีลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ แต่มะเร็งจะเป็นก้อนแข็งๆ

อาหารลดคอเลสเตอรอล

อาหารลดคอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง รวมไปถึงโรคหัวใจ วันนี้เกร็ดความรู้เลยมีอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลมาบอกกัน....


1. มะเขือต่าง ๆ :
มะเขือเทศ, มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด


2. หอมหัวใหญ่ :
ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ลดระดับไขมัน คอเรสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ยังสามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้อีกด้วย

3. กระเทียมสด :
ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ลดระดับไขมัน และคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด


4. ถั่วเหลือง :
พืชตระกูลถั่วจะให้โปรตีนสูง


5. แอปเปิ้ล :
ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้ จะดึงคอเลสเตอรอล และขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน รวมถึงการควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย


6. โยเกิร์ต :
ที่นอกจากจะช่วย ลดระดับคอเลสเตอรอล ในเลือดได้แล้วก็ยังบำรุงผิวพรรณ ให้เปล่งปลั่งอีกด้วย
ก็ลองดูกัน..เผื่อระดับคอเลสเตอรอลจะลดลงกันได้บ้าง...

การนอนกรน

การนอนกรน
เมื่อร่างกายหลับ การหายใจของคนเราจะมีความสม่ำเสมอ เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนจะผ่อนคลาย รวมทั้งกล้ามเนื้อหายใจ เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบการหายใจนี้จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า การนอนกรน ประเภทการนอนกรน
1.ประเภทไม่เป็นอันตราย คือการนอนกรนธรรมดาที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน จะไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย
2.ประเภทที่อันตราย คือการนอนกรนที่มีเสียงไม่สม่ำเสมอกันขณะที่หลับสนิท จะมีเสียงกรนดังสลับกับเบาเป็นช่วงๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไประยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่หยุดหายใจ
การป้องกันและการรักษาการนอนกรนของผู้ป่วย
1. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ให้นอนในท่าตะแคงข้าง และให้ศีรษะสูงเล็กน้อย
3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือยานนอนหลับและยากล่อมประสาทก่อนนอน
4. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย ให้รักษาโดย
• ใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP ครอบจมูกขณะหลับ เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัย และได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย
• Radiofrequency จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง
• การผ่าตัด เอาส่วนที่ยืดยานออก
อันตรายจากการนอนกรน
1. ร่างกายอ่อนเพลีย คล้ายนอนไม่พอ ทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนการทำงาน และอาจเกิดอุบัติเหตุ
2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามรถในการจำลดลง หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย
3. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมองโรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดการหยุดหายใจในช่วงหลับ หรือที่เรียกว่าไหลตาย
4. ขาดสมรรถภาพทางเพศ

ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่

“บอกมาซิว่า..ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่”่
คนที่มีเนื่อมีหนังสมบูรณ์สักหน่อยนี่ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ...แต่ถ้ามันสมบูรณ์ จนเกินไปเค้าเรียกว่า"อ้วน"แล้วก็คนอ้วนเนี่ยช่างหาคนเอาใจยากเสียจริง นักออกแบบเสื้อเค้าก็ออกแบบจากคนหุ่นบางเพรียวลม ยังไม่เคยเห็นใครหานางแบบอ้วนท้วนสมบูรณ์สักคน
เพราะฉะนั้น คนอยากสวยหลายต่อหลายคนก็เลยผอมกัน วิธีง่ายๆก็ต้องลดอาหาร “ลด” นะ ไม่ใช่ “อด” แล้วก็ต้องลดอย่างถูกวิธีด้วยเพื่อไม่ให้ผอมบักโกรกตายไปเสียก่อนจะผอม สวยแต่ละคนก็แต่ละอย่าง บางคนลดความอ้วนไม่ได้เพราะเป็นแม่บ้านอยู่บ้านทั้งวัน ก็เลยกิน ชดเชยเวลาว่างเป็นการใหญ่ เพราะฉะนั้น ที่สรรหามานี่ก็เป็นกลยุทธการโบกมือลากับความอ้วน สำหรับสาวๆต่างแบบกัน คนทำงานหรือแม่บ้านเป็นต้น ใครเห็นว่าตรงกับตัวเองอันไหนก็รีบๆ อ่านๆรีบๆทำตามซะเพื่อจะได้ลาขาดซะที ความอ้วน!
สาวออฟฟิศ
ก็คือคนทำงานแล้วนั่นแหละไม่จำกัดหรอกว่าออฟฟิศไหนคุณไม่ค่อยมีเวลาจะสนใจกับการวางโปรแกรมลดอาหาร เพราะงานยุ่งเหลือเกิน เวลากินก็กินไม่ยั้ง เพราะเหนื่อเลยหิวง่าย เจียดเวลาดูแลตัวเองสักนิดเถอะน่า อยากสวยไม่ใช่เหรอ
ข้อห้ามสำหรับคุณ
1.อย่ากินขนมจุกจิกจุ๊กจิ๊กตอนช่วงพักดื่มกาแฟตอนเช้าหรือบ่าย
2.อย่ากินขนมตอนทำงานมือทำไปปากเคี้ยวเพลินก็เลยอ้วนเพลินๆปเลย 3.พอมีเวลาว่างอย่าใช้เวลาไปกับการกินหาอะไรอย่างอื่นทำแทน ท่องเอาไว้ เดี๋ยวจะอ้วน เดี๋ยวจะอ้วน ฮึ่ม!!
4.เลิกบ่นซะทีว่า...ต๊ายฉันอ้วนเลือเกิน โดยไม่ทำอะไรเลยเลิกบ่นแล้วหันมาทำอะไรซักอย่างเพื่อลดความอ้วนดีกว่า
ของแถม
1.ออกกำลังกายทุกวันอย่าให้ขาด
2.เคี้ยวหมากฝรั่งแทนเวลาอยากกินอะไรขึ้นมา
3.พยายามไม่ให้มีอาหารเหลือเอาไว้ยั่วยวน อย่าเข้าไปเปิดตู้เย็นบ่อยนัก นอกจากเวลาทำอาหาร
4.ใจแข็งเข้าไว้..เวลาเห็นขนมเค้กหรือพายซักชิ้น
คุณสามารถใช้เวลาประมาณ2สัปดาห์สำหรับลดความอ้วนได้ข้อสำคัญคือต้องทำใจแข้ง เข้าไว้อย่ายอมแพ้ต่อสิ่งเย้ายวนทั้งหลายแหล่คุณก็จะบรรลุทางแห่งความงามได้ ดั่งใจปรารถนา

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

ลองอ่านดู

       ชีวิตบางครั้งอาจจะไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าความพอดี

          แต่ในหลาย ๆ ครั้งเราอาจจะมองข้ามความพอดีนี้ไป

และผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้เพราะบางทีสิ่งที่เรา

ต้องการก็อาจจะมาไม่ถึงหรืออาจจะเลยไปแล้วและสิ่งที่เราคาดหวัง

ในหลาย ๆ ครั้งนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการ

สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือสิ่งที่เราได้ทำอยู่และเราจะขอทำมันด้วยความ

เต็มใจและตั้งใจทำให้ดีที่สุดและรอคอยเวลาที่ดี ๆ ที่จะผ่านเข้ามาใน

ชีวิตอีก แต่ไม่รู้ว่ามันจะมาหรือเปล่า....................

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สวัสดีปีใหม่ 2554

          สวัดี ปีใหม่ 2554       เหลืออีก 1 ปี โลกจะแตก!!!!!     

By : Gitsadee






                  ใครยังไม่ได้ทำอะไรก็ต้องรีบทำนะครับพี่น้อง

                                     ใครไม่สมหวังในความรัก ก็ ขอ ให้สมหวัง


                         ใครมีความรักที่ดี ก็ให้ ดี ยิ่งขึ้นไป


                             ใครยังไม่มี ความรัก ก็ ให้รีบมี นะครับ




                         ส่วนตัวผมความรักอยู่รอบตัวมองดี ๆ ก็จะเห็น